การสร้างฐานข้อมูลโดยการใช้ phpMyAdmin
-เปิดเว็บบราวเซอร์ แล้วเข้าไปที่ http://localhost/ หรือ 127.0.0.1
- คลิกที่ phpMyAdmin Database Manager Version 2.10.3 แล้วจะเจอ popup ให้ใส่ username และ password
-จากนั้นกรอกชื่อฐานข้อมูลต้องการที่ช่อง "สร้างฐานข้อมูลใหม่" แล้วกดปุ่ม "สร้าง"
จากนั้นก็จะมาขั้นต- หลังจากที่กำหนดชื่อตารางและกำหนด fields เสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่หน้าจอการกำหนด คุณสมบัติของ fields ครับ โดยผมจะยกตัวอย่างการสร้าง fields ดังต่อไปนี้
1. รหัส (id)
2. ชื่อ (name)
3. นามสกุล (surname)
4. ที่อยู่ (address)
5. เบอร์โทรศัพท (phone)ซึ่งเราจะต้องกำหนดชนิดของตัวแปรในส่วนนี้ด้วยครับอนการสร้างตารางของฐานข้อมูลครับ โดยการ ใส่ชื่อตารางที่ช่อง "สร้างตารางในฐานข้อมูลนี้" และกำหนดจำนวน fields ที่ท่านต้องการ สำหรับตัวอย่างนี้ ผมจะสร้างตารางเก็บประวัิติลูกค้า โดย จะใช้ชื่อตารางว่า customer และมีจำนวน fields 5 fields
หรื่อให้เข้าใจง่าย
เริ่มแรก เราก็ต้องเข้าใช้โปรแกรม phpMyAdmin กันก่อนค่ะ ตามที่เราได้เลยศึกษากันแล้วบทความ "เริ่มต้นใช้งาน phpMyAdmin" เมื่อเข้ามาในหน้าแรก phpMyAdmin แล้ว
ขั้นตอนแรก ให้สังเกตบริเวณฝั่งขวามือ หาส่วนสำหรับสร้างฐานข้อมูลใหม่ ตามภาพที่ 1 ให้เราใส่ชื่อฐานข้อมูลที่เราจะสร้าง ในที่นี้ของยกตัวอย่างการสร้างฐานข้อมูลนักเรียนนะค่ะ เลยตั้งชื่อฐานข้อมูลว่า student
เมื่อเรากดปุ่มสร้าง Database ไปแล้ว จะสังเกตได้ว่าด้านซ้ายมือของเราจะปรากฏชื่อฐานข้อมูล student ที่เราได้สร้างขึ้นมา ดังภาพที่ 2
ขั้นตอนที่ 2 หลังจากเราได้สร้างฐานข้อมูลแล้ว เราจะมาสร้างตาราง หรือ Table เพื่อเตรียมไว้สำหรับรองรับการเก็บข้อมูลกันต่อ โดยสังเกตบริเวณฝังขวามือจะเจอส่วนของการสร้างตารางดังภาพที่ 3 ให้เราตั้งชื่อตาราง และจำนวนฟิลด์ข้อมูล แล้วกดปุ่มลงมือ
ในที่นี้ขอตั้งชื่อตารางเป็น personal ทั้งนี้เพราะ Webmaster ตั้งใจจะสร้างตารางนี้เพื่อเก็บข้อมูลส่วนของประวัตินักเรียน โดยจะเก็บข้อมูล
1. ชื่อ
2. นามสกุล
3. ที่อยู่
4. เบอร์โทรศัพท์
จะเห็นได้ว่ามีการเก็บข้อมูลทั้งหมด 4 ข้อมูล ซึ่งการกำหนดจำนวนฟิลด์เราก็คิดตามจำนวนของข้อมูลข้างต้นนี่ละค่ะ ซึ่งจากข้อมูลก็จะได้ 4 ฟิลด์ (หรือใครจะเอาแค่ 3 ก็ได้ค่ะ หากเอา ชื่อ กับนามสกุลเก็บในฟิลด์เดียวกัน) แต่ที่ Webmaster กำหนดค่าฟิลด์เป็น 5 ก็เพราะในการเก็บข้อมูลนั้น เราจะต้องใช้ฟิลด์บางฟิลด์ในการอ้างอิงถึงข้อมูลในตาราง จึงต้องสร้างฟิลด์ ๆ นี้ไว้อีกหนึ่งฟิลด์เพื่อเอาไว้เป็นตัวอ้างอิงลำดับของข้อมูล (ดัชนี)
ดังนั้นในฟิลด์ Sid เราต้องกำหนดค่า "ว่างเปล่า (null)" เป็น not null และกำหนดค่า "เพิ่มเติม" เป็น auto_increment เพื่อให้ข้อมูลในฟิลด์นี้เพิ่มค่าขึ้นทีละหนึ่งโดยอัตโนมัต นอกจากนี้แล้วฟิลด์ Sid ที่ใช้ในการอ้างอิง (ดัชนี) จะต้องกำหนดค่าเป็นไพรมารี (PRIMARY) ด้วย โดยการเลือกในช่องไพรมารี (รูปกุญแจ)
ขั้นตอนที่ 3 เมื่อเรากดปุ่มลงมือไปแล้ว เราก็ต้องมากำหนดชื่อฟิลด์ข้อมูล ซึ่งควรตั้งชื่อให้สื่อถึงข้อมูลที่เราจะเก็บ โดยการตั้งเป็นชื่อภาษาอังกฤษ (จะตั้งเป็นตัวพิมพ์เล็กหรือใหญ่ก็ได้)
ฟิลด์แรก ขอตั้งชื่อว่า Sid (ตั้งเป็นตัวย่อ มาจาก Student id) สำหรับเก็บลำดับข้อมูลของนักเรียน ซึ่งฟิลด์ลำดับมักจะสร้างไว้เป็นฟิลด์แรก ในที่นี้กำหนดชนิดของข้อมูลเป็น INT (Integer) เพราะฟิลด์นี้สร้างขึ้นสำหรับเก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลขเท่านั้น
ส่วนฟิลด์อื่น ๆ ก็ตั้งชื่อให้สื่อถึงข้อมูลที่เราจะเก็บ กำหนดชนิดของข้อมูลเป็น VARCHAR เพื่อใช้เก็บข้อมูลที่เป็นตัวอักษร และความยาวของข้อมูลนั้น ชนิด VARCHAR เราจะนับตามจำนวนตัวอักษร
เดียวในเรื่องของชนิดข้อมูลนี้ Webmaster จะขออธิบายให้ศึกษากันในบทความครั้งหน้านะค่ะ (ไม่งั้นบทความนี้ยาวแน่ ๆ ค่ะ)
เมื่อตั้งชื่อฟิลด์และกำหนดรายละเอียดเรียบร้อยแล้วก็กดปุ่มบันทึกได้เลยค่ะ
ผลลัพธ์ก็จะมี Table ปรากฏด้านซ้ายมือตามชื่อที่เราได้สร้างไว้ และเมื่อเราคลิกที่ Table ก็จะมีรายละเอียดโครงสร้างตามที่เรากำหนดไว้ในขั้นตอนที่ 3 ค่ะ แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ
magic
วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
<?
$host = "localhost";//ชื่อโฮสต์ที่ใช้งาน
$dbuser = "root";//ยูสเซ่อเนมที่ใช้ติดต่อฐานข้อมูล
$dbpass = "12345";//รหัสผ่าน
$link = mysql_connect($host,$dbuser,$dbpass) or die(mysql_error());//ฟังก์ชั่นที่ใช้ติดต่อฐานข้อมูล
mysql_select_db("dbname") or die(mysql_error());//ใส่ชื่อดาต้าเบสที่สร้างขึ้นมา
mysql_query("SET NAMES UTF8");
?><?php require("connect.php"); ?>
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556
คนนี้สุดยอดดดดดด!!!!
เฉลิมสวรรค์ ไพบูลย์พันธ์ หรือ ฟิลิป เป็นนักมายากลชาวไทยที่มีชื่อเสียง ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนวิทยากลฟิลิป เขาเริ่มสนใจมายากล ตั้งแต่ พ.ศ. 2525 โดยมีแรงบัลดาลใจจาก การแสดงมายากลในชุดรถไฟปีศาจ ของเดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ ในภายหลังเขาได้รับทุนการศึกษามายากลระดับโลกที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นระยะเวลา 6 เดือน ต่อมา ในพ.ศ. 2554 เขาได้มีส่วนร่วมในการประสานงานเผยแพร่ตำรามายากลเก่าแก่ ของสมัยรัชกาลที่ 6 ที่เพิ่งถูกค้นพบ ซึ่งมีอายุกว่า 100 ปี โดยตีพิมพ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2461-2492 โดยมีอยู่ทั้งหมด 12 เล่ม ซึ่งเป็นผลงานเขียนของศาสตราจารย์ชิโอลา[1] ทั้งนี้เขาได้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องน่ายินดี และเตรียมจัดพิมพ์เผยแพร่ให้คนไทยได้ศึกษา รวมทั้งถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์มายากลของประเทศไทยอีกฉบับหนึ่ง[1]
ครั้งหนึ่ง ฟิลิป ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ผู้ผลิตและจำหน่ายนิตยสาร FHM ในการลงข้อความหมิ่นประมาทต่อ "อุมา ไพบูลย์พันธ์" หรือ "ลิซ่า ไปรพิศ" แต่ก็ได้มีการพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในภายหลัง[2]
เฉลิมสวรรค์ ไพบูลย์พันธ์ | |
ชื่อเกิด | เฉลิมสวรรค์ ไพบูลย์พันธ์ |
ชื่อเล่น | ฟิลิป |
เกิด | |
ชื่ออื่น | ฟิลิป |
อาชีพ | นักมายากล |
เว็บทางการ |
---|
ครั้งหนึ่ง ฟิลิป ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ผู้ผลิตและจำหน่ายนิตยสาร FHM ในการลงข้อความหมิ่นประมาทต่อ "อุมา ไพบูลย์พันธ์" หรือ "ลิซ่า ไปรพิศ" แต่ก็ได้มีการพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในภายหลัง[2]
มารู้จักคำว่าจริตน้ะค้าบบบบบล
คำว่า "จริต" ในที่นี้หมายถึงสภาวะจิตของคนตามธรรมชาติจากการแบ่งจริตมนุษย์เป็น ๖ ประเภทใหญ่ๆ เรามาดูกันว่าคุณติดในจริตแบบไหนบ้างครับ
แนวคิดเกี่ยวกับประเภทของจริต มนุษย์ในหนังสือเล่มนี้มีรากฐานมาจากคัมภีร์วิ สุทธิมรรค ซึ่งผู้ประพันธ์เชื่อกันว่าเป็นพระอรหันต์ชาวลังกา ในคัมภีร์ดังกล่าวได้อธิบายถึงสภาวะจิตหรือนิสัยมนุษย์ว่ามีอยู่ด้วยกัน ๖ ประเภท ได้แก่
1. ราคะจริต คือสภาวะจิตที่หลงติดในรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสจนเป็นอารมณ์
2. โทสะจริต หรือสภาวะจิตที่โกรธง่าย ฉุนเฉียวง่าย เพียงพูดผิดสักคำ ได้เห็นดีกัน
3. โมหะจริต หรือจิตที่มักอยู่ในสภาพง่วงเหงาหาวนอนหรือซึมเศร้าเป็นอาจิณ
4. วิตกจริต หรือสภาวะจิตที่กังวล สับสนและวุ่นวายฟุ้งซ่านแทบทุกลมหายใจ
5. ศรัทธาจริต คือสภาวะจิตที่มีปรัชญาหรือหลักการของตัวเองและพยายามผลักดันให้ตัวเองและ ผู้อื่นบรรลุถึงจุดหมายนั้น
6. พุทธิจริต คือสภาวะจิตที่เน้นการใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง คิดหาเหตุหาผลมาแก้ปัญหาต่างๆในชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน รวมทั้ง มีความสนใจ เรื่องการยกระดับและพัฒนาจิตวิญญาณ
ราคะจริต
ลักษณะ บุคลิกดี มีมาด น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ ติดในความสวย ความงาม ความหอมความไพเราะ ความอร่อย ไม่ชอบคิด แต่ช่างจินตนาการเพ้อฝัน
จุดแข็ง มีความประณีตอ่อนไหว และละเอียดอ่อน ช่างสังเกตุเก็บข้อมูลเก่ง มีบุคลิกหน้าตาเป็นที่ชอบและชื่นชมของทุกคนที่เห็น วาจาไพเราะ เข้าได้กับทุกคน เก่งในการประสานงาน การประชาสัมพันธ์และงานที่ต้องใช้บุคลิกภาพ
จุดอ่อน ไม่มีสมาธิ ทำงานใหญ่ได้ยาก ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่มีความเป็นผู้นำ ขี้เกรงใจคน ขาดหลักการ มุ่งแต่บำรุงบำเรอผัสสะทั้ง 5 ของตัวเอง คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ชอบพูดคำหวานแต่อาจไม่จริง อารมณ์รุนแรงช่างอิจฉา ริษยา ชอบปรุงแต่ง
วิธีแก้ไข พิจารณาโทษของจิตที่ขาดสมาธิ ฝึกพลังจิตให้มีสมาธิเข้มแข็ง หาเป้าหมายที่แน่ชัดในชีวิต พิจารณาสิ่งปฏิกูลต่างๆของร่างกายมนุษย์เพื่อลดการติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
โทสะจริต
ลักษณะ จิตขุ่นเคือง โกรธง่าย คาดหวังว่าโลกต้องเป็นอย่างที่ตัวเองคิด พูดตรงไปตรงมา ชอบชี้ถูกชี้ผิด เจ้าระเบียบ เคร่งกฎเกณฑ์ แต่งตัวประณีต สะอาดสะอ้าน เดินเร็ว ตรงแน่ว
จุดแข็ง อุทิศตัวทุ่มเทให้กับการงาน มีระเบียบวินัยสูง ตรงเวลา วิเคราะห์เก่ง มองอะไรตรงไปตรงมา มีความจริงใจต่อผู้อื่นสามารถพึ่งพาได้ พูดคำไหนคำนั้น ไม่ค่อยโลภ
จุดอ่อน จิตขุ่นมัว ร้อนรุ่ม ไม่มีความเมตตา ไม่เป็นที่น่าคบค้าสมาคมของคนอื่น และไม่มีบารมี ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างวจีกรรมเป็นประจำ มีโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย
วิธีแก้ไข สังเกตดูอารมณ์ตัวเองเป็นประจำ เจริญเมตตาให้มากๆ คิดก่อนพูดนานๆ และพูดทีละคำ ฟังทีละเสียง อย่าไปจริงจังกับโลกมากนัก เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ พิจารณาโทษของความโกรธต่อความเสื่อมโทรมของร่างกาย
โมหะจริต
ลักษณะ ง่วงๆ ซึมๆ เบื่อๆ เซ็งๆ ดวงตาดูเศร้าๆ ซึ้งๆ พูดจาเบาๆ นุ่มนวลอ่อนโยน ยิ้มง่าย อารมณ์ ไม่ค่อยเสีย ไม่ค่อยโกรธใคร ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่น เดินแบบขาดจุดมุ้งหมาย ไร้ความมั่นคง
จุดแข็ง ไม่ฟุ้งซ่าน เข้าใจอะไรได้ง่ายและชัดเจน มีความรู้สึก มักตัดสินใจอะไรได้ถูกต้อง ทำงานเก่ง โดยเฉพาะงานประจำ ไม่ค่อยทุกข์หรือเครียดมากนัก เป็นคนดี เป็นเพื่อนที่น่าคบ ไม่ทำร้ายใคร
จุดอ่อน ไม่มีความมั่นใจ มองตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริงโทษตัวเองเสมอ หมกมุ่นแต่เรื่องตัวเองไม่สนใจคนอื่น ไม่จัดระบบความคิด ทำให้เสมือนไม่มีความรู้ ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่ชอบเป็นจุดเด่น สมาธิอ่อนและสั้นเบื่อง่าย อารมณ์อ่อนไหวง่ายใจน้อย
วิธีแก้ไข ตั้งเป้าหมายชีวิตให้ชัดเจน ฝึกสมาธิสร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง ให้จิตออกจากอารมณ์ โดยจับการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือเล่นกีฬา แสวงหาความรู้ และต้องจัดระบบความรู้ความคิด สร้างความแปลกใหม่ให้กับชีวิต อย่าทำอะไรซ้ำซาก
วิตกจริต
ลักษณะ พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ความคิดพวยพุ่ง ฟุ้งซ่านอยู่ในโลกความคิด ไม่ใช่โลกความจริง มองโลกในแง่ร้ายว่าคนอื่นจะเอาเปรียบกลั่นแกล้งเรา หน้าจะบึ้ง ไม่ค่อยยิ้ม เจ้ากี้เจ้าการ อัตตาสูงคิดว่าตัวเองเก่ง อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง ผัดวันประกันพรุ่ง
จุดแข็ง เป็นนักคิดระดับเยี่ยมยอด มองอะไรทะลุปรุโปร่งหลายชั้น เป็นนักพูดที่เก่ง จูงใจคน เป็นผู้นำหลายวงการ ละเอียดรอบคอบ เจาะลึกในรายละเอียด เห็นความผิดเล็กความผิดน้อยที่คนอื่นไม่เห็น
จุดอ่อน มองจุดเล็กลืมภาพใหญ่ เปลี่ยนแปลงความคิดตลอดเวลา จุดยืนกลับไปกลับมา ไม่รักษาสัญญา มีแต่ความคิด ไม่มีความรู้สึก ไม่มี วิจารณญาณ ลังแล มักตัดสินใจผิดพลาด มักทะเลาวิวาท ทำร้ายจิตใจ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มีความทุกข์ เพราะเห็นแต่ปัญหา แต่หาทางแก้ไม่ได้
วิธีแก้ไข เลือกความคิด อย่าให้ความคิดลากไป ฝึกสมาธิแบบอานาปานัสสติ เพื่อสงบสติ อารมณ์ เลิกอกุศลจิต คลายจากฟุ้งซ่าน สร้างวินัย ต้องสร้างกรอบเวลา ฝึกมองภาพรวม คิดให้ครบวงจร หัดมองโลกในแง่ดี พัฒนาสมองด้านขวา
ศรัทธาจริต
ลักษณะ ยึดมั่นอย่างแรงกล้าในบุคคล หลักการหรือความเชื่อถือและความศรัทธา คิดว่าตัวเองเป็นคนดี น่าศรัทธา ประเสริฐ กว่าคนอื่น เป็นคนจริงจัง พูดมีหลักการ
จุดแข็ง มีพลังจิตสูงและเข้มแข็งพร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองและสังคมไปสู่สภาพที่ดีกว่าเดิม มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล มีลักษณะความเป็นผู้นำ
จุดอ่อน หู่เบา ความเชื่ออยู่เหนือเหตุผล ถูกหลอกได้ง่าย ยิ่งศรัทธามาก ปัญญายิ่งลดน้อยลง จิตใจคับแคบ ไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่าง ไม่ประนีประนอม มองโลกเป็นขาวและดำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตนคิดว่าถูกต้อง สามารถทำได้ทุกอย่างแม้แต่ใช้ความรุ่นแรง
วิธีแก้ไข นึกถึงกาลามสูตร ใช้หลักเหตุผลพิจารณาเหนือความเชื่อ ใช้ปัญญานำทาง และใช้ศรัทธาขับเคลื่อน เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ ลดความยึดมั่นในตัวบุคคลหรืออุดมการณ์ ลดความยึดมั่นในตัวกูของกู
พุทธิจริต
ลักษณะ คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล มองเรื่องต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริงไม่ปรุงแต่ง พร้อมรับความคิดที่แตกต่างไปจากของตนเอง ใฝ่เรียนรู้ ช่างสังเกตุ มีความเมตตาไม่เอาเปรียบคน หน้าตาผ่องใส ตาเป็นประกาย ไม่ทุกข์
จุดแข็ง สามารถเห็นเหตุเห็นผลได้ชัดเจน และรู้วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างถูกต้อง อัตตาต่ำ เปิดใจรับข้อเท็จจริง จิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่จมปลักในอดีต และไม่กังวลในสิ่งที่จะเกิดในอนาคต พัฒนาปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ เป็นกัลยาณมิตร
จุดอ่อน มีความเฉื่อยไม่ต้องการพัฒนาจิตวิญญาณ ชีวิตราบรื่นมาตลอด หากต้องเผชิญพลังด้านลบ อาจเอาตัวไม่รอด ไม่มีความเป็นผู้นำ จิตไม่มีพลังพอที่จะดึงดูดคนให้คล้อยตาม
วิธีแก้ไข ถามตัวเองว่าพอใจแล้วหรือกับสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เพิ่มพลังสติสมาธิ พัฒนาจิตใจให้มีพลังขับเคลื่อนที่แรงขึ้น เพิ่มความเมตา พยายามทำให้ประโยชน์ให้กับสังคมมากขึ้น
ภูเขาสามารถถล่มมาเป็นถนน
แม่น้ำสามารถเปลี่ยนทางเดิน
แต่นิสัย ใจคอคน ยากแท้ที่จะเปลี่ยน
คำว่า "จริต" ในที่นี้หมายถึงสภาวะจิตของคนตามธรรมชาติจากการแบ่งจริตมนุษย์เป็น ๖ ประเภทใหญ่ๆ เรามาดูกันว่าคุณติดในจริตแบบไหนบ้างครับ
แนวคิดเกี่ยวกับประเภทของจริต มนุษย์ในหนังสือเล่มนี้มีรากฐานมาจากคัมภีร์วิ สุทธิมรรค ซึ่งผู้ประพันธ์เชื่อกันว่าเป็นพระอรหันต์ชาวลังกา ในคัมภีร์ดังกล่าวได้อธิบายถึงสภาวะจิตหรือนิสัยมนุษย์ว่ามีอยู่ด้วยกัน ๖ ประเภท ได้แก่
1. ราคะจริต คือสภาวะจิตที่หลงติดในรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสจนเป็นอารมณ์
2. โทสะจริต หรือสภาวะจิตที่โกรธง่าย ฉุนเฉียวง่าย เพียงพูดผิดสักคำ ได้เห็นดีกัน
3. โมหะจริต หรือจิตที่มักอยู่ในสภาพง่วงเหงาหาวนอนหรือซึมเศร้าเป็นอาจิณ
4. วิตกจริต หรือสภาวะจิตที่กังวล สับสนและวุ่นวายฟุ้งซ่านแทบทุกลมหายใจ
5. ศรัทธาจริต คือสภาวะจิตที่มีปรัชญาหรือหลักการของตัวเองและพยายามผลักดันให้ตัวเองและ ผู้อื่นบรรลุถึงจุดหมายนั้น
6. พุทธิจริต คือสภาวะจิตที่เน้นการใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง คิดหาเหตุหาผลมาแก้ปัญหาต่างๆในชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน รวมทั้ง มีความสนใจ เรื่องการยกระดับและพัฒนาจิตวิญญาณ
ราคะจริต
ลักษณะ บุคลิกดี มีมาด น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ ติดในความสวย ความงาม ความหอมความไพเราะ ความอร่อย ไม่ชอบคิด แต่ช่างจินตนาการเพ้อฝัน
จุดแข็ง มีความประณีตอ่อนไหว และละเอียดอ่อน ช่างสังเกตุเก็บข้อมูลเก่ง มีบุคลิกหน้าตาเป็นที่ชอบและชื่นชมของทุกคนที่เห็น วาจาไพเราะ เข้าได้กับทุกคน เก่งในการประสานงาน การประชาสัมพันธ์และงานที่ต้องใช้บุคลิกภาพ
จุดอ่อน ไม่มีสมาธิ ทำงานใหญ่ได้ยาก ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่มีความเป็นผู้นำ ขี้เกรงใจคน ขาดหลักการ มุ่งแต่บำรุงบำเรอผัสสะทั้ง 5 ของตัวเอง คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ชอบพูดคำหวานแต่อาจไม่จริง อารมณ์รุนแรงช่างอิจฉา ริษยา ชอบปรุงแต่ง
วิธีแก้ไข พิจารณาโทษของจิตที่ขาดสมาธิ ฝึกพลังจิตให้มีสมาธิเข้มแข็ง หาเป้าหมายที่แน่ชัดในชีวิต พิจารณาสิ่งปฏิกูลต่างๆของร่างกายมนุษย์เพื่อลดการติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
โทสะจริต
ลักษณะ จิตขุ่นเคือง โกรธง่าย คาดหวังว่าโลกต้องเป็นอย่างที่ตัวเองคิด พูดตรงไปตรงมา ชอบชี้ถูกชี้ผิด เจ้าระเบียบ เคร่งกฎเกณฑ์ แต่งตัวประณีต สะอาดสะอ้าน เดินเร็ว ตรงแน่ว
จุดแข็ง อุทิศตัวทุ่มเทให้กับการงาน มีระเบียบวินัยสูง ตรงเวลา วิเคราะห์เก่ง มองอะไรตรงไปตรงมา มีความจริงใจต่อผู้อื่นสามารถพึ่งพาได้ พูดคำไหนคำนั้น ไม่ค่อยโลภ
จุดอ่อน จิตขุ่นมัว ร้อนรุ่ม ไม่มีความเมตตา ไม่เป็นที่น่าคบค้าสมาคมของคนอื่น และไม่มีบารมี ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างวจีกรรมเป็นประจำ มีโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย
วิธีแก้ไข สังเกตดูอารมณ์ตัวเองเป็นประจำ เจริญเมตตาให้มากๆ คิดก่อนพูดนานๆ และพูดทีละคำ ฟังทีละเสียง อย่าไปจริงจังกับโลกมากนัก เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ พิจารณาโทษของความโกรธต่อความเสื่อมโทรมของร่างกาย
โมหะจริต
ลักษณะ ง่วงๆ ซึมๆ เบื่อๆ เซ็งๆ ดวงตาดูเศร้าๆ ซึ้งๆ พูดจาเบาๆ นุ่มนวลอ่อนโยน ยิ้มง่าย อารมณ์ ไม่ค่อยเสีย ไม่ค่อยโกรธใคร ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่น เดินแบบขาดจุดมุ้งหมาย ไร้ความมั่นคง
จุดแข็ง ไม่ฟุ้งซ่าน เข้าใจอะไรได้ง่ายและชัดเจน มีความรู้สึก มักตัดสินใจอะไรได้ถูกต้อง ทำงานเก่ง โดยเฉพาะงานประจำ ไม่ค่อยทุกข์หรือเครียดมากนัก เป็นคนดี เป็นเพื่อนที่น่าคบ ไม่ทำร้ายใคร
จุดอ่อน ไม่มีความมั่นใจ มองตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริงโทษตัวเองเสมอ หมกมุ่นแต่เรื่องตัวเองไม่สนใจคนอื่น ไม่จัดระบบความคิด ทำให้เสมือนไม่มีความรู้ ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่ชอบเป็นจุดเด่น สมาธิอ่อนและสั้นเบื่อง่าย อารมณ์อ่อนไหวง่ายใจน้อย
วิธีแก้ไข ตั้งเป้าหมายชีวิตให้ชัดเจน ฝึกสมาธิสร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง ให้จิตออกจากอารมณ์ โดยจับการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือเล่นกีฬา แสวงหาความรู้ และต้องจัดระบบความรู้ความคิด สร้างความแปลกใหม่ให้กับชีวิต อย่าทำอะไรซ้ำซาก
วิตกจริต
ลักษณะ พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ความคิดพวยพุ่ง ฟุ้งซ่านอยู่ในโลกความคิด ไม่ใช่โลกความจริง มองโลกในแง่ร้ายว่าคนอื่นจะเอาเปรียบกลั่นแกล้งเรา หน้าจะบึ้ง ไม่ค่อยยิ้ม เจ้ากี้เจ้าการ อัตตาสูงคิดว่าตัวเองเก่ง อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง ผัดวันประกันพรุ่ง
จุดแข็ง เป็นนักคิดระดับเยี่ยมยอด มองอะไรทะลุปรุโปร่งหลายชั้น เป็นนักพูดที่เก่ง จูงใจคน เป็นผู้นำหลายวงการ ละเอียดรอบคอบ เจาะลึกในรายละเอียด เห็นความผิดเล็กความผิดน้อยที่คนอื่นไม่เห็น
จุดอ่อน มองจุดเล็กลืมภาพใหญ่ เปลี่ยนแปลงความคิดตลอดเวลา จุดยืนกลับไปกลับมา ไม่รักษาสัญญา มีแต่ความคิด ไม่มีความรู้สึก ไม่มี วิจารณญาณ ลังแล มักตัดสินใจผิดพลาด มักทะเลาวิวาท ทำร้ายจิตใจ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มีความทุกข์ เพราะเห็นแต่ปัญหา แต่หาทางแก้ไม่ได้
วิธีแก้ไข เลือกความคิด อย่าให้ความคิดลากไป ฝึกสมาธิแบบอานาปานัสสติ เพื่อสงบสติ อารมณ์ เลิกอกุศลจิต คลายจากฟุ้งซ่าน สร้างวินัย ต้องสร้างกรอบเวลา ฝึกมองภาพรวม คิดให้ครบวงจร หัดมองโลกในแง่ดี พัฒนาสมองด้านขวา
ศรัทธาจริต
ลักษณะ ยึดมั่นอย่างแรงกล้าในบุคคล หลักการหรือความเชื่อถือและความศรัทธา คิดว่าตัวเองเป็นคนดี น่าศรัทธา ประเสริฐ กว่าคนอื่น เป็นคนจริงจัง พูดมีหลักการ
จุดแข็ง มีพลังจิตสูงและเข้มแข็งพร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองและสังคมไปสู่สภาพที่ดีกว่าเดิม มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล มีลักษณะความเป็นผู้นำ
จุดอ่อน หู่เบา ความเชื่ออยู่เหนือเหตุผล ถูกหลอกได้ง่าย ยิ่งศรัทธามาก ปัญญายิ่งลดน้อยลง จิตใจคับแคบ ไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่าง ไม่ประนีประนอม มองโลกเป็นขาวและดำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตนคิดว่าถูกต้อง สามารถทำได้ทุกอย่างแม้แต่ใช้ความรุ่นแรง
วิธีแก้ไข นึกถึงกาลามสูตร ใช้หลักเหตุผลพิจารณาเหนือความเชื่อ ใช้ปัญญานำทาง และใช้ศรัทธาขับเคลื่อน เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ ลดความยึดมั่นในตัวบุคคลหรืออุดมการณ์ ลดความยึดมั่นในตัวกูของกู
พุทธิจริต
ลักษณะ คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล มองเรื่องต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริงไม่ปรุงแต่ง พร้อมรับความคิดที่แตกต่างไปจากของตนเอง ใฝ่เรียนรู้ ช่างสังเกตุ มีความเมตตาไม่เอาเปรียบคน หน้าตาผ่องใส ตาเป็นประกาย ไม่ทุกข์
จุดแข็ง สามารถเห็นเหตุเห็นผลได้ชัดเจน และรู้วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างถูกต้อง อัตตาต่ำ เปิดใจรับข้อเท็จจริง จิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่จมปลักในอดีต และไม่กังวลในสิ่งที่จะเกิดในอนาคต พัฒนาปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ เป็นกัลยาณมิตร
จุดอ่อน มีความเฉื่อยไม่ต้องการพัฒนาจิตวิญญาณ ชีวิตราบรื่นมาตลอด หากต้องเผชิญพลังด้านลบ อาจเอาตัวไม่รอด ไม่มีความเป็นผู้นำ จิตไม่มีพลังพอที่จะดึงดูดคนให้คล้อยตาม
วิธีแก้ไข ถามตัวเองว่าพอใจแล้วหรือกับสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เพิ่มพลังสติสมาธิ พัฒนาจิตใจให้มีพลังขับเคลื่อนที่แรงขึ้น เพิ่มความเมตา พยายามทำให้ประโยชน์ให้กับสังคมมากขึ้น
ภูเขาสามารถถล่มมาเป็นถนน
แม่น้ำสามารถเปลี่ยนทางเดิน
แต่นิสัย ใจคอคน ยากแท้ที่จะเปลี่ยน
วิธีการอ่านและวิเคราะห์จิตใจคนน้ะคิคิ
หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ
การอ่านคนจากน้ำเสียง
อ่านคนจากลักษณะการพูดจา
หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ
1. มองหารูปแบบของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
พฤติกรรมซ้ำ ๆ หมายถึง รูปแบบการกระทำที่ใช้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกหรือสถานการณ์เกิดขึ้นเป็น ประจำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิสัย เช่น เป็นคนกระตือรือร้น หรือเฉื่อยชา , เป็นคนชอบท่องเที่ยวหรือชอบอยู่เฉย ๆ เป็นต้น
ดังนั้น เราไม่ควรสรุปผู้อื่นจาก
· พฤติกรรมในครั้งแรกที่รู้จักกัน ( First Impression )
· พฤติกรรมในทาง Negative ที่นาน ๆ เกิดครั้งหนึ่ง
2. หาพฤติกรรมที่เป็นนิสัยของเขาจริง ๆ ( เกิดขึ้นตามธรรมชาติ )
ตามหลักพื้นฐาน พฤติกรรมของมนุษย์สามารถ แยกได้ 2 ประเภท คือ
1.) พฤติกรรมที่สร้างขึ้น อาจจะเพื่อบทบาทหน้าที่การงานในสังคม หรือ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง เป็นต้น
2.) พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือ พฤติกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็น " นิสัย " อาจมีสาเหตุจากการเลี้ยงดู หรือถูกหล่อหลอมจากสภาพสังคม เป็นต้น
คำถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพฤติกรรมที่คน ๆ นั้นแสดงเป็นของจริงหรือสร้างขึ้น ?
สังเกตจาก " ระดับความเข้มข้นของพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน " ปกติคนเราอาจมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปบ้าง แต่จะไม่ต่างจากลักษณะนิสัยเดิม ๆ มากนัก แต่ถ้าเบี่ยงเบนแบบสุดกู่ แสดงว่าเป็นพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อแยกได้แล้ว ไม่ต้องสนใจพฤติกรรมที่สร้างขึ้น ให้คอยสังเกต " จุดเปลี่ยน " เพื่อที่เราจะได้เลือกพฤติกรรมที่จะแสดงออกได้อย่างเหมาะสม
3. ต้องสรุปให้ได้ว่าบุคคลผู้นั้น " คบได้ " หรือ " ไม่น่าคบ "
· ลักษณะของคนที่น่าคบ มีนิสัยที่จัดอยู่ในประเภท " คนเมตตาผู้อื่น " คือ ใจกว้าง, ยุติธรรม, ดูจริงใจ , พร้อมที่จะให้อภัยผู้อื่น เป็นต้น
· ลักษณะของคนที่ไม่น่าคบ หรือคบได้แต่ต้องระวัง คือ พวกที่ทำอะไรหวังผลประโยชน์เพื่อตัวเองฝ่ายเดียว , มีความอาฆาตต้องการลงโทษผู้อื่น เป็นต้น
ข้อสังเกต : คน ๆ หนึ่งจะเป็นได้เพียงหนึ่งลักษณะเท่านั้น คือ เมตตา หรือ ไม่เมตตา
4. มองหาจุดแตกต่าง
ต้องแยกให้ออกว่า การกระทำหรือบุคลิกลักษณะภายนอกอะไรบ้างที่ขัดแย้งกับภาพรวมทั้งหมดของคน ๆ นั้น เพราะภายใต้ความแตกต่างนั้น ย่อมมีเหตุสำคัญบางประการ และถ้าเราค้นพบที่มาของความแตกต่างนั้นได้ จะทำให้เรารู้จักคน ๆ นั้นได้อย่างลึกซึ้งและถูกต้องตามความจริง
สรุป : การที่เราจะอ่านความคิดผู้อื่นได้ถูกต้องตามสถานการณ์ หรือ ณ เวลานั้น ๆ เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า อะไรคือพฤติกรรมซ้ำซากแท้จริงที่ถูกหล่อหลอมจน กลายเป็น " นิสัย " ของเขา เมื่อนั้นเราจึงจะสามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้
อ่านคนจากลักษณะการพูดจา
1. วิธีการตอบคำถาม
· นิ่ง : ผู้ที่ถูกกล่าวหาแล้วนิ่งให้สงสัยไว้ก่อนว่า มีส่วนในความผิดนั้นจริง
· พูดยืดยาว : แสดงว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่รู้เรื่องนั้น
2. พูดจาหยาบคาย หรือชอบสาบานตลอดเวลา
· เป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หรือตื่นเต้นตกใจง่าย
· จิตใจโหดร้าย, ชอบข่มขู่ผู้อื่น
3. เปลี่ยนเรื่องพูด อาจมาจากสาเหตุ ดังนี้
· เบื่อเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่
· ปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นจึงไม่อยากพูด
ข้อสังเกต : ความเกี่ยวโยงของเรื่องที่เปลี่ยน ถ้าไม่มีความเชื่อมโยงของเรื่องที่เปลี่ยนแสดงว่ากำลังปกปิดความจริง
4. คนที่เปิดเผยตัวมาก
· เขาสนในเราจึงยอมเปิดข้อมูลเยอะ หรือ
· อาจต้องการสร้างภาพ
5. คนที่ชอบพูดคำว่า ลุย
· เป็นคนค่อนข้างก้าวร้าว
ขอบคุณ teenee.com
หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ
การอ่านคนจากน้ำเสียง
อ่านคนจากลักษณะการพูดจา
หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ
1. มองหารูปแบบของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
พฤติกรรมซ้ำ ๆ หมายถึง รูปแบบการกระทำที่ใช้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกหรือสถานการณ์เกิดขึ้นเป็น ประจำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิสัย เช่น เป็นคนกระตือรือร้น หรือเฉื่อยชา , เป็นคนชอบท่องเที่ยวหรือชอบอยู่เฉย ๆ เป็นต้น
ดังนั้น เราไม่ควรสรุปผู้อื่นจาก
· พฤติกรรมในครั้งแรกที่รู้จักกัน ( First Impression )
· พฤติกรรมในทาง Negative ที่นาน ๆ เกิดครั้งหนึ่ง
2. หาพฤติกรรมที่เป็นนิสัยของเขาจริง ๆ ( เกิดขึ้นตามธรรมชาติ )
ตามหลักพื้นฐาน พฤติกรรมของมนุษย์สามารถ แยกได้ 2 ประเภท คือ
1.) พฤติกรรมที่สร้างขึ้น อาจจะเพื่อบทบาทหน้าที่การงานในสังคม หรือ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง เป็นต้น
2.) พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือ พฤติกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็น " นิสัย " อาจมีสาเหตุจากการเลี้ยงดู หรือถูกหล่อหลอมจากสภาพสังคม เป็นต้น
คำถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพฤติกรรมที่คน ๆ นั้นแสดงเป็นของจริงหรือสร้างขึ้น ?
สังเกตจาก " ระดับความเข้มข้นของพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน " ปกติคนเราอาจมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปบ้าง แต่จะไม่ต่างจากลักษณะนิสัยเดิม ๆ มากนัก แต่ถ้าเบี่ยงเบนแบบสุดกู่ แสดงว่าเป็นพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อแยกได้แล้ว ไม่ต้องสนใจพฤติกรรมที่สร้างขึ้น ให้คอยสังเกต " จุดเปลี่ยน " เพื่อที่เราจะได้เลือกพฤติกรรมที่จะแสดงออกได้อย่างเหมาะสม
3. ต้องสรุปให้ได้ว่าบุคคลผู้นั้น " คบได้ " หรือ " ไม่น่าคบ "
· ลักษณะของคนที่น่าคบ มีนิสัยที่จัดอยู่ในประเภท " คนเมตตาผู้อื่น " คือ ใจกว้าง, ยุติธรรม, ดูจริงใจ , พร้อมที่จะให้อภัยผู้อื่น เป็นต้น
· ลักษณะของคนที่ไม่น่าคบ หรือคบได้แต่ต้องระวัง คือ พวกที่ทำอะไรหวังผลประโยชน์เพื่อตัวเองฝ่ายเดียว , มีความอาฆาตต้องการลงโทษผู้อื่น เป็นต้น
ข้อสังเกต : คน ๆ หนึ่งจะเป็นได้เพียงหนึ่งลักษณะเท่านั้น คือ เมตตา หรือ ไม่เมตตา
4. มองหาจุดแตกต่าง
ต้องแยกให้ออกว่า การกระทำหรือบุคลิกลักษณะภายนอกอะไรบ้างที่ขัดแย้งกับภาพรวมทั้งหมดของคน ๆ นั้น เพราะภายใต้ความแตกต่างนั้น ย่อมมีเหตุสำคัญบางประการ และถ้าเราค้นพบที่มาของความแตกต่างนั้นได้ จะทำให้เรารู้จักคน ๆ นั้นได้อย่างลึกซึ้งและถูกต้องตามความจริง
สรุป : การที่เราจะอ่านความคิดผู้อื่นได้ถูกต้องตามสถานการณ์ หรือ ณ เวลานั้น ๆ เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า อะไรคือพฤติกรรมซ้ำซากแท้จริงที่ถูกหล่อหลอมจน กลายเป็น " นิสัย " ของเขา เมื่อนั้นเราจึงจะสามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้
อ่านคนจากลักษณะการพูดจา
1. วิธีการตอบคำถาม
· นิ่ง : ผู้ที่ถูกกล่าวหาแล้วนิ่งให้สงสัยไว้ก่อนว่า มีส่วนในความผิดนั้นจริง
· พูดยืดยาว : แสดงว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่รู้เรื่องนั้น
2. พูดจาหยาบคาย หรือชอบสาบานตลอดเวลา
· เป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หรือตื่นเต้นตกใจง่าย
· จิตใจโหดร้าย, ชอบข่มขู่ผู้อื่น
3. เปลี่ยนเรื่องพูด อาจมาจากสาเหตุ ดังนี้
· เบื่อเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่
· ปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นจึงไม่อยากพูด
ข้อสังเกต : ความเกี่ยวโยงของเรื่องที่เปลี่ยน ถ้าไม่มีความเชื่อมโยงของเรื่องที่เปลี่ยนแสดงว่ากำลังปกปิดความจริง
4. คนที่เปิดเผยตัวมาก
· เขาสนในเราจึงยอมเปิดข้อมูลเยอะ หรือ
· อาจต้องการสร้างภาพ
5. คนที่ชอบพูดคำว่า ลุย
· เป็นคนค่อนข้างก้าวร้าว
ขอบคุณ teenee.com
5 วิธีอ่านใจคนแบบง่ายๆน้ะค้าบบบ
อัลแลน และบาร์บารา พีส (Allan and Barbara Pease)สองสามีภรรยาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากาย ได้ใช้เวลากว่าสิบปีในการสังเกตุท่าทางของมนุษย์เพราะเขาเชื่อว่า หากคนเราให้ความสนใจกับตัวเลขร้อยละ 38 ที่เกิดจากภาษากายและสามารถอ่านความหมายได้ถูกต้อง เราจะเข้าใจผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในขณะที่การเพิกเฉยและขาดความสนใจจะนำไปสู่ความกลัวและความเชื่อผิดๆ
หากพร้อมแล้วเราไปดูกันเลย เริ่มจาก ท่ากอดอก มือและแขนไว้ทับกันอยู่บริเวณหน้าอก ไม่ว่าจะเป็นการกอดอกในท่านั่งหรือยืน หมายถึง การปิดกั้น ความเห็นขัดแย้ง ความไม่พอใจ ความหวาดระแวง หากมีผู้ฟังกอดอกตลอดการสนทนา นั่นแปลว่า เขากำลังรู้สึกขัดแย้งกับสิ่งที่เราพูด หากเป็นการเสนองาน มีความเป็นไปได้สูงว่า เมื่อเราพูดจบ เขาจะไม่ตอบตกลง
เช่นเดียวกัน ขณะที่เรากอดอก ไม่ว่าจะรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม แต่คู่สนทนาของเราจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งจะทำให้เขาคล้อยตามเราได้ยากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ควรทำท่ากอดอกเมื่อต้องเจรจาต่อรองหรือเข้าประชุม
วิธีแก้สถานการณ์ 1.หากคู่สนทนายังกอดอกแน่น ให้คุณยื่นสิ่งของเช่น เอกสาร แก้วน้ำหรือเครื่องดื่ม ให้เขาถือหรือดู เชื่อไหมว่า นักขายผู้สามารถใช้วิธีนี้ในการเปิดใจลูกค้า จะสามารถปิดการขายได้สำเร็จ
2.ขณะเจรจาให้ยื่นมือไปแตะที่บริเวณข้อศอกของคู่สนทนา แช่มือไว้ประมาณ 3 วินาที แล้วจึงชักมือออก นี่เป็นเทคนิคที่ได้จากงานวิจัยของนักศึกษา มหาวิทยาลัยมินนิโซตา ซึ่งได้ทดลองทิ้งเหรียญไว้ในตู้โทรศัพท์ เมื่ออาสาสมัครใช้โทรศัพท์เสร็จแล้ว ผู้วิจัยจะเดินเข้าไปถามหาเหรียญดังกล่าว ผลปรากฎว่าหากระหว่างถามผู้วิจัยใช้มือแตะข้อศอกของอาสามัครแช่ไว้ 3 วินาที อาสาสมัครจะยอมคืนเหรียญมากถึงร้อยละ 68 (วิธีนี้มีข้อพึงระวังเล็กน้อย หากแตะเหนือกว่าหรือต่ำกว่าข้อศอกจะไม่มีผล)
ท่ากอดตัวเอง มือข้างหนึ่งเลื่อนมาจับที่ข้อศอกหรือแขนทางด้านหน้า หมายความว่าความโดดเดี่ยว ความเครียด ท่านี้อัลแลนอธิบายว่า คนเรามักทำท่ากอดตัวเองเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย หรือมีความกังวลใจในสถานภาพของตน เพราะมือที่พาดมาด้านหน้าเปรียบเสมือนเกราะกำบังนั่นเอง
หากเราพบเห็นเพื่อนฝูงหรือใครทำท่านี้ อาจแปลได้ว่า เขากำลังกังวลกับเรื่องบางอย่าง ซึ่งอาจเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่างเสื้อผ้า หน้าผม หรือรูปร่าง ก็ได้ เราจึงควรระมัดระวังคำพูดให้มาก และหลีกเลี่ยงการพูดล้อเลียน
ทำมือแบบนี้= กำลังประหม่า ถ้าเราเห็นผู้ชายขยับกระดุมข้อมือหรือจัดสายนาฬิกาบ่อยๆ นั่นแปลว่าเขากำลังประหม่า ส่วนผู้หญิงที่ชอบถือกระเป๋าไม่ปล่อย ก็แปลได้ว่าเธอกำลังประหม่าเช่นกัน
หงายฝ่ามือ ขณะที่พูดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็หงายฝ่ามือไปด้วย หมายความว่า มีความสนใจ ความเห็นด้วย อัลแลนระบุว่า เมื่อคนเราหงายฝ่ามือเพื่อประกอบคำพูด นั่นแปลว่าเขากำลังพูดถึงสิ้นที่ตนเองพอใจและมั่นใจ นอกจากนี้การหงายฝ่ามือประกอบการอธิบายจะช่วยให้อีกฝ่ายจดจำข้อมูลได้มากกว่าการไม่ใช้มือถึงร้อยละ 30 เชียวนะ
ท่าจับมือไขว้หลัง มือข้างหนึ่งไขว้หลังไปจับมืออีกข้างหนึ่ง หมายความถึงความเหนือชั้น ความมั่นใจ ความเป็นผู้นำ ท่านี้เป็นท่าพักของตำรวจหรือทหารที่เราสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป คนที่ทำท่านี้อย่างเป็นธรรมชาติ มักจะอยู่ในอารมณ์ที่ปราศจากความกลัว และมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เราสามารถใช้ประโยชน์จากท่านี้ด้วยเพราะหากเรากำลังอยู่ในสภาวการณ์ที่มีความตึงเครียดสูง การทำท่าจับมือไขว้หลังจะทำให้เรารู้สึกมั่นใจมากขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าหากมือที่ไขว้มาด้านหลังจับอยู่ในบริเวณที่ไม่ใช่มือ เช่นจับข้อมือ หรือข้อศอก นั่นแปลว่า คนๆนั้นกำลังหงุดหงิด และพยายามจะควบคุมตัวเอง ยิ่งมือจับแขนสูงมากขึ้นเท่าใด อารมณ์ของคนผู้นั้นก็น่าจะหงุดหงิดหรือโกรธมากขึ้นเท่านั้น
ท่าปิดปาก ยกมือ นิ้ว หรือกำปั้นมาปิดที่บริเวณปาก ความหมายคือ พูดไม่จริง หรือมีอะไรบางอย่างปิดบังอยู่
เช่นเดียวกันกับท่าทางอื่นๆที่คนเรามักแสดงออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว คนที่โกหกมักจะทำท่าอย่างนี้โดยอัตโนมัติ หากเราเห็นคนทำท่าปิดปากขณะที่เรากำลังนำเสนอข้อมูล ก็อาจแก้ไขสถานการณ์ด้วยการถามเจาะจงไปว่า มีคำถามอะไรไหมเพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้ซักถาม
จะเห็นได้ว่า เพียงแค่มือสองข้างก็สามารถคลี่คลายความรู้สึกได้มากมาย นอกจากจะทำให้เราเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ระหว่างการสนทนาแล้ว ยังทำให้เราสามารถจับสัมผัสความรู้สึกของตัวเองได้อย่างละเอียดมากขึ้น
เมื่อตั้งหลักถามตัวเองบ่อยๆก็แปลว่าคุณมีสติรู้ตัวเองมากขึ้น แล้วโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการสนทนาจะพ้นมือคุณไปได้อย่างไร
ที่มา ISNHOTNEWS
อัลแลน และบาร์บารา พีส (Allan and Barbara Pease)สองสามีภรรยาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากาย ได้ใช้เวลากว่าสิบปีในการสังเกตุท่าทางของมนุษย์เพราะเขาเชื่อว่า หากคนเราให้ความสนใจกับตัวเลขร้อยละ 38 ที่เกิดจากภาษากายและสามารถอ่านความหมายได้ถูกต้อง เราจะเข้าใจผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในขณะที่การเพิกเฉยและขาดความสนใจจะนำไปสู่ความกลัวและความเชื่อผิดๆ
หากพร้อมแล้วเราไปดูกันเลย เริ่มจาก ท่ากอดอก มือและแขนไว้ทับกันอยู่บริเวณหน้าอก ไม่ว่าจะเป็นการกอดอกในท่านั่งหรือยืน หมายถึง การปิดกั้น ความเห็นขัดแย้ง ความไม่พอใจ ความหวาดระแวง หากมีผู้ฟังกอดอกตลอดการสนทนา นั่นแปลว่า เขากำลังรู้สึกขัดแย้งกับสิ่งที่เราพูด หากเป็นการเสนองาน มีความเป็นไปได้สูงว่า เมื่อเราพูดจบ เขาจะไม่ตอบตกลง
เช่นเดียวกัน ขณะที่เรากอดอก ไม่ว่าจะรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม แต่คู่สนทนาของเราจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งจะทำให้เขาคล้อยตามเราได้ยากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ควรทำท่ากอดอกเมื่อต้องเจรจาต่อรองหรือเข้าประชุม
วิธีแก้สถานการณ์ 1.หากคู่สนทนายังกอดอกแน่น ให้คุณยื่นสิ่งของเช่น เอกสาร แก้วน้ำหรือเครื่องดื่ม ให้เขาถือหรือดู เชื่อไหมว่า นักขายผู้สามารถใช้วิธีนี้ในการเปิดใจลูกค้า จะสามารถปิดการขายได้สำเร็จ
2.ขณะเจรจาให้ยื่นมือไปแตะที่บริเวณข้อศอกของคู่สนทนา แช่มือไว้ประมาณ 3 วินาที แล้วจึงชักมือออก นี่เป็นเทคนิคที่ได้จากงานวิจัยของนักศึกษา มหาวิทยาลัยมินนิโซตา ซึ่งได้ทดลองทิ้งเหรียญไว้ในตู้โทรศัพท์ เมื่ออาสาสมัครใช้โทรศัพท์เสร็จแล้ว ผู้วิจัยจะเดินเข้าไปถามหาเหรียญดังกล่าว ผลปรากฎว่าหากระหว่างถามผู้วิจัยใช้มือแตะข้อศอกของอาสามัครแช่ไว้ 3 วินาที อาสาสมัครจะยอมคืนเหรียญมากถึงร้อยละ 68 (วิธีนี้มีข้อพึงระวังเล็กน้อย หากแตะเหนือกว่าหรือต่ำกว่าข้อศอกจะไม่มีผล)
ท่ากอดตัวเอง มือข้างหนึ่งเลื่อนมาจับที่ข้อศอกหรือแขนทางด้านหน้า หมายความว่าความโดดเดี่ยว ความเครียด ท่านี้อัลแลนอธิบายว่า คนเรามักทำท่ากอดตัวเองเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย หรือมีความกังวลใจในสถานภาพของตน เพราะมือที่พาดมาด้านหน้าเปรียบเสมือนเกราะกำบังนั่นเอง
หากเราพบเห็นเพื่อนฝูงหรือใครทำท่านี้ อาจแปลได้ว่า เขากำลังกังวลกับเรื่องบางอย่าง ซึ่งอาจเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่างเสื้อผ้า หน้าผม หรือรูปร่าง ก็ได้ เราจึงควรระมัดระวังคำพูดให้มาก และหลีกเลี่ยงการพูดล้อเลียน
ทำมือแบบนี้= กำลังประหม่า ถ้าเราเห็นผู้ชายขยับกระดุมข้อมือหรือจัดสายนาฬิกาบ่อยๆ นั่นแปลว่าเขากำลังประหม่า ส่วนผู้หญิงที่ชอบถือกระเป๋าไม่ปล่อย ก็แปลได้ว่าเธอกำลังประหม่าเช่นกัน
หงายฝ่ามือ ขณะที่พูดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็หงายฝ่ามือไปด้วย หมายความว่า มีความสนใจ ความเห็นด้วย อัลแลนระบุว่า เมื่อคนเราหงายฝ่ามือเพื่อประกอบคำพูด นั่นแปลว่าเขากำลังพูดถึงสิ้นที่ตนเองพอใจและมั่นใจ นอกจากนี้การหงายฝ่ามือประกอบการอธิบายจะช่วยให้อีกฝ่ายจดจำข้อมูลได้มากกว่าการไม่ใช้มือถึงร้อยละ 30 เชียวนะ
ท่าจับมือไขว้หลัง มือข้างหนึ่งไขว้หลังไปจับมืออีกข้างหนึ่ง หมายความถึงความเหนือชั้น ความมั่นใจ ความเป็นผู้นำ ท่านี้เป็นท่าพักของตำรวจหรือทหารที่เราสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป คนที่ทำท่านี้อย่างเป็นธรรมชาติ มักจะอยู่ในอารมณ์ที่ปราศจากความกลัว และมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เราสามารถใช้ประโยชน์จากท่านี้ด้วยเพราะหากเรากำลังอยู่ในสภาวการณ์ที่มีความตึงเครียดสูง การทำท่าจับมือไขว้หลังจะทำให้เรารู้สึกมั่นใจมากขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าหากมือที่ไขว้มาด้านหลังจับอยู่ในบริเวณที่ไม่ใช่มือ เช่นจับข้อมือ หรือข้อศอก นั่นแปลว่า คนๆนั้นกำลังหงุดหงิด และพยายามจะควบคุมตัวเอง ยิ่งมือจับแขนสูงมากขึ้นเท่าใด อารมณ์ของคนผู้นั้นก็น่าจะหงุดหงิดหรือโกรธมากขึ้นเท่านั้น
ท่าปิดปาก ยกมือ นิ้ว หรือกำปั้นมาปิดที่บริเวณปาก ความหมายคือ พูดไม่จริง หรือมีอะไรบางอย่างปิดบังอยู่
เช่นเดียวกันกับท่าทางอื่นๆที่คนเรามักแสดงออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว คนที่โกหกมักจะทำท่าอย่างนี้โดยอัตโนมัติ หากเราเห็นคนทำท่าปิดปากขณะที่เรากำลังนำเสนอข้อมูล ก็อาจแก้ไขสถานการณ์ด้วยการถามเจาะจงไปว่า มีคำถามอะไรไหมเพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้ซักถาม
จะเห็นได้ว่า เพียงแค่มือสองข้างก็สามารถคลี่คลายความรู้สึกได้มากมาย นอกจากจะทำให้เราเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ระหว่างการสนทนาแล้ว ยังทำให้เราสามารถจับสัมผัสความรู้สึกของตัวเองได้อย่างละเอียดมากขึ้น
เมื่อตั้งหลักถามตัวเองบ่อยๆก็แปลว่าคุณมีสติรู้ตัวเองมากขึ้น แล้วโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการสนทนาจะพ้นมือคุณไปได้อย่างไร
ที่มา ISNHOTNEWS
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)