วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การสร้างฐานข้อมูลโดยการใช้ phpMyAdmin
-เปิดเว็บบราวเซอร์ แล้วเข้าไปที่ http://localhost/ หรือ 127.0.0.1
- คลิกที่ phpMyAdmin Database Manager Version 2.10.3 แล้วจะเจอ popup ให้ใส่ username และ password
-จากนั้นกรอกชื่อฐานข้อมูลต้องการที่ช่อง "สร้างฐานข้อมูลใหม่" แล้วกดปุ่ม "สร้าง"
จากนั้นก็จะมาขั้นต
- หลังจากที่กำหนดชื่อตารางและกำหนด fields เสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่หน้าจอการกำหนด คุณสมบัติของ fields ครับ โดยผมจะยกตัวอย่างการสร้าง fields ดังต่อไปนี้
1. รหัส (id)
2. ชื่อ (name)
3. นามสกุล (surname)
4. ที่อยู่ (address)
5. เบอร์โทรศัพท (phone)
ซึ่งเราจะต้องกำหนดชนิดของตัวแปรในส่วนนี้ด้วยครับอนการสร้างตารางของฐานข้อมูลครับ โดยการ ใส่ชื่อตารางที่ช่อง "สร้างตารางในฐานข้อมูลนี้" และกำหนดจำนวน fields ที่ท่านต้องการ สำหรับตัวอย่างนี้ ผมจะสร้างตารางเก็บประวัิติลูกค้า โดย จะใช้ชื่อตารางว่า customer และมีจำนวน fields 5 fields
  

หรื่อให้เข้าใจง่าย
เริ่มแรก เราก็ต้องเข้าใช้โปรแกรม phpMyAdmin กันก่อนค่ะ ตามที่เราได้เลยศึกษากันแล้วบทความ "เริ่มต้นใช้งาน phpMyAdmin" เมื่อเข้ามาในหน้าแรก phpMyAdmin แล้ว 

ขั้นตอนแรก ให้สังเกตบริเวณฝั่งขวามือ หาส่วนสำหรับสร้างฐานข้อมูลใหม่ ตามภาพที่ 1 ให้เราใส่ชื่อฐานข้อมูลที่เราจะสร้าง ในที่นี้ของยกตัวอย่างการสร้างฐานข้อมูลนักเรียนนะค่ะ เลยตั้งชื่อฐานข้อมูลว่า student

เมื่อเรากดปุ่มสร้าง Database ไปแล้ว จะสังเกตได้ว่าด้านซ้ายมือของเราจะปรากฏชื่อฐานข้อมูล student ที่เราได้สร้างขึ้นมา ดังภาพที่ 2

ขั้นตอนที่ 2 หลังจากเราได้สร้างฐานข้อมูลแล้ว เราจะมาสร้างตาราง หรือ Table เพื่อเตรียมไว้สำหรับรองรับการเก็บข้อมูลกันต่อ โดยสังเกตบริเวณฝังขวามือจะเจอส่วนของการสร้างตารางดังภาพที่ 3 ให้เราตั้งชื่อตาราง และจำนวนฟิลด์ข้อมูล แล้วกดปุ่มลงมือ

ในที่นี้ขอตั้งชื่อตารางเป็น personal ทั้งนี้เพราะ Webmaster ตั้งใจจะสร้างตารางนี้เพื่อเก็บข้อมูลส่วนของประวัตินักเรียน โดยจะเก็บข้อมูล 
1. ชื่อ
2. นามสกุล
3. ที่อยู่ 
4. เบอร์โทรศัพท์

จะเห็นได้ว่ามีการเก็บข้อมูลทั้งหมด 4 ข้อมูล ซึ่งการกำหนดจำนวนฟิลด์เราก็คิดตามจำนวนของข้อมูลข้างต้นนี่ละค่ะ ซึ่งจากข้อมูลก็จะได้ 4 ฟิลด์ (หรือใครจะเอาแค่ 3 ก็ได้ค่ะ หากเอา ชื่อ กับนามสกุลเก็บในฟิลด์เดียวกัน) แต่ที่ Webmaster กำหนดค่าฟิลด์เป็น 5 ก็เพราะในการเก็บข้อมูลนั้น เราจะต้องใช้ฟิลด์บางฟิลด์ในการอ้างอิงถึงข้อมูลในตาราง จึงต้องสร้างฟิลด์ ๆ นี้ไว้อีกหนึ่งฟิลด์เพื่อเอาไว้เป็นตัวอ้างอิงลำดับของข้อมูล (ดัชนี) 

ดังนั้นในฟิลด์ Sid เราต้องกำหนดค่า "ว่างเปล่า (null)" เป็น not null และกำหนดค่า "เพิ่มเติม" เป็น auto_increment เพื่อให้ข้อมูลในฟิลด์นี้เพิ่มค่าขึ้นทีละหนึ่งโดยอัตโนมัต นอกจากนี้แล้วฟิลด์ Sid ที่ใช้ในการอ้างอิง (ดัชนี) จะต้องกำหนดค่าเป็นไพรมารี (PRIMARY) ด้วย โดยการเลือกในช่องไพรมารี (รูปกุญแจ)

ขั้นตอนที่ 3 เมื่อเรากดปุ่มลงมือไปแล้ว เราก็ต้องมากำหนดชื่อฟิลด์ข้อมูล ซึ่งควรตั้งชื่อให้สื่อถึงข้อมูลที่เราจะเก็บ โดยการตั้งเป็นชื่อภาษาอังกฤษ (จะตั้งเป็นตัวพิมพ์เล็กหรือใหญ่ก็ได้)

ฟิลด์แรก ขอตั้งชื่อว่า Sid (ตั้งเป็นตัวย่อ มาจาก Student id) สำหรับเก็บลำดับข้อมูลของนักเรียน ซึ่งฟิลด์ลำดับมักจะสร้างไว้เป็นฟิลด์แรก ในที่นี้กำหนดชนิดของข้อมูลเป็น INT (Integer) เพราะฟิลด์นี้สร้างขึ้นสำหรับเก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลขเท่านั้น

ส่วนฟิลด์อื่น ๆ ก็ตั้งชื่อให้สื่อถึงข้อมูลที่เราจะเก็บ กำหนดชนิดของข้อมูลเป็น VARCHAR เพื่อใช้เก็บข้อมูลที่เป็นตัวอักษร และความยาวของข้อมูลนั้น ชนิด VARCHAR เราจะนับตามจำนวนตัวอักษร 

เดียวในเรื่องของชนิดข้อมูลนี้ Webmaster จะขออธิบายให้ศึกษากันในบทความครั้งหน้านะค่ะ (ไม่งั้นบทความนี้ยาวแน่ ๆ ค่ะ)
เมื่อตั้งชื่อฟิลด์และกำหนดรายละเอียดเรียบร้อยแล้วก็กดปุ่มบันทึกได้เลยค่ะ

ผลลัพธ์ก็จะมี Table ปรากฏด้านซ้ายมือตามชื่อที่เราได้สร้างไว้ และเมื่อเราคลิกที่ Table ก็จะมีรายละเอียดโครงสร้างตามที่เรากำหนดไว้ในขั้นตอนที่ 3 ค่ะ แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ 

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


<?
$host     = "localhost";//ชื่อโฮสต์ที่ใช้งาน
$dbuser = "root";//ยูสเซ่อเนมที่ใช้ติดต่อฐานข้อมูล
$dbpass = "12345";//รหัสผ่าน
$link = mysql_connect($host,$dbuser,$dbpass) or die(mysql_error());//ฟังก์ชั่นที่ใช้ติดต่อฐานข้อมูล
mysql_select_db("dbname") or die(mysql_error());//ใส่ชื่อดาต้าเบสที่สร้างขึ้นมา
mysql_query("SET NAMES UTF8");
?><?php require("connect.php"); ?>
$score=65; if($score < 50){echo 'grade 0';} else if($score <55){echo 'grade 1';} else if($score <60){echo 'grade 1.5';} else if($score <65){echo 'grade 2';} else if($score <70){echo 'grade 2.5';} else if($score <75){echo 'grade 3';} else if($score <80){echo 'grade 3.5';} else{echo 'grade 4';}

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

คนนี้สุดยอดดดดดด!!!!
เฉลิมสวรรค์ ไพบูลย์พันธ์
เฉลิมสวรรค์.jpg
ชื่อเกิดเฉลิมสวรรค์ ไพบูลย์พันธ์
ชื่อเล่นฟิลิป
เกิด
ชื่ออื่นฟิลิป
อาชีพนักมายากล
เว็บทางการ
เฉลิมสวรรค์ ไพบูลย์พันธ์ หรือ ฟิลิป เป็นนักมายากลชาวไทยที่มีชื่อเสียง ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนวิทยากลฟิลิป เขาเริ่มสนใจมายากล ตั้งแต่ พ.ศ. 2525 โดยมีแรงบัลดาลใจจาก การแสดงมายากลในชุดรถไฟปีศาจ ของเดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ ในภายหลังเขาได้รับทุนการศึกษามายากลระดับโลกที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นระยะเวลา 6 เดือน ต่อมา ในพ.ศ. 2554 เขาได้มีส่วนร่วมในการประสานงานเผยแพร่ตำรามายากลเก่าแก่ ของสมัยรัชกาลที่ 6 ที่เพิ่งถูกค้นพบ ซึ่งมีอายุกว่า 100 ปี โดยตีพิมพ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2461-2492 โดยมีอยู่ทั้งหมด 12 เล่ม ซึ่งเป็นผลงานเขียนของศาสตราจารย์ชิโอลา[1] ทั้งนี้เขาได้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องน่ายินดี และเตรียมจัดพิมพ์เผยแพร่ให้คนไทยได้ศึกษา รวมทั้งถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์มายากลของประเทศไทยอีกฉบับหนึ่ง[1]
ครั้งหนึ่ง ฟิลิป ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ผู้ผลิตและจำหน่ายนิตยสาร FHM ในการลงข้อความหมิ่นประมาทต่อ "อุมา ไพบูลย์พันธ์" หรือ "ลิซ่า ไปรพิศ" แต่ก็ได้มีการพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในภายหลัง[2]
มารู้จักคำว่าจริตน้ะค้าบบบบบล
คำว่า "จริต" ในที่นี้หมายถึงสภาวะจิตของคนตามธรรมชาติจากการแบ่งจริตมนุษย์เป็น ๖ ประเภทใหญ่ๆ เรามาดูกันว่าคุณติดในจริตแบบไหนบ้างครับ

แนวคิดเกี่ยวกับประเภทของจริต มนุษย์ในหนังสือเล่มนี้มีรากฐานมาจากคัมภีร์วิ สุทธิมรรค ซึ่งผู้ประพันธ์เชื่อกันว่าเป็นพระอรหันต์ชาวลังกา ในคัมภีร์ดังกล่าวได้อธิบายถึงสภาวะจิตหรือนิสัยมนุษย์ว่ามีอยู่ด้วยกัน ๖ ประเภท ได้แก่

1. ราคะจริต คือสภาวะจิตที่หลงติดในรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสจนเป็นอารมณ์

2. โทสะจริต หรือสภาวะจิตที่โกรธง่าย ฉุนเฉียวง่าย เพียงพูดผิดสักคำ ได้เห็นดีกัน

3. โมหะจริต หรือจิตที่มักอยู่ในสภาพง่วงเหงาหาวนอนหรือซึมเศร้าเป็นอาจิณ

4. วิตกจริต หรือสภาวะจิตที่กังวล สับสนและวุ่นวายฟุ้งซ่านแทบทุกลมหายใจ

5. ศรัทธาจริต คือสภาวะจิตที่มีปรัชญาหรือหลักการของตัวเองและพยายามผลักดันให้ตัวเองและ ผู้อื่นบรรลุถึงจุดหมายนั้น

6. พุทธิจริต คือสภาวะจิตที่เน้นการใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง คิดหาเหตุหาผลมาแก้ปัญหาต่างๆในชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน รวมทั้ง มีความสนใจ เรื่องการยกระดับและพัฒนาจิตวิญญาณ
ราคะจริต

ลักษณะ บุคลิกดี มีมาด น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ ติดในความสวย ความงาม ความหอมความไพเราะ ความอร่อย ไม่ชอบคิด แต่ช่างจินตนาการเพ้อฝัน

จุดแข็ง มีความประณีตอ่อนไหว และละเอียดอ่อน ช่างสังเกตุเก็บข้อมูลเก่ง มีบุคลิกหน้าตาเป็นที่ชอบและชื่นชมของทุกคนที่เห็น วาจาไพเราะ เข้าได้กับทุกคน เก่งในการประสานงาน การประชาสัมพันธ์และงานที่ต้องใช้บุคลิกภาพ

จุดอ่อน ไม่มีสมาธิ ทำงานใหญ่ได้ยาก ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่มีความเป็นผู้นำ ขี้เกรงใจคน ขาดหลักการ มุ่งแต่บำรุงบำเรอผัสสะทั้ง 5 ของตัวเอง คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ชอบพูดคำหวานแต่อาจไม่จริง อารมณ์รุนแรงช่างอิจฉา ริษยา ชอบปรุงแต่ง

วิธีแก้ไข พิจารณาโทษของจิตที่ขาดสมาธิ ฝึกพลังจิตให้มีสมาธิเข้มแข็ง หาเป้าหมายที่แน่ชัดในชีวิต พิจารณาสิ่งปฏิกูลต่างๆของร่างกายมนุษย์เพื่อลดการติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
โทสะจริต

ลักษณะ จิตขุ่นเคือง โกรธง่าย คาดหวังว่าโลกต้องเป็นอย่างที่ตัวเองคิด พูดตรงไปตรงมา ชอบชี้ถูกชี้ผิด เจ้าระเบียบ เคร่งกฎเกณฑ์ แต่งตัวประณีต สะอาดสะอ้าน เดินเร็ว ตรงแน่ว

จุดแข็ง อุทิศตัวทุ่มเทให้กับการงาน มีระเบียบวินัยสูง ตรงเวลา วิเคราะห์เก่ง มองอะไรตรงไปตรงมา มีความจริงใจต่อผู้อื่นสามารถพึ่งพาได้ พูดคำไหนคำนั้น ไม่ค่อยโลภ

จุดอ่อน จิตขุ่นมัว ร้อนรุ่ม ไม่มีความเมตตา ไม่เป็นที่น่าคบค้าสมาคมของคนอื่น และไม่มีบารมี ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างวจีกรรมเป็นประจำ มีโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย

วิธีแก้ไข สังเกตดูอารมณ์ตัวเองเป็นประจำ เจริญเมตตาให้มากๆ คิดก่อนพูดนานๆ และพูดทีละคำ ฟังทีละเสียง อย่าไปจริงจังกับโลกมากนัก เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ พิจารณาโทษของความโกรธต่อความเสื่อมโทรมของร่างกาย


โมหะจริต
ลักษณะ ง่วงๆ ซึมๆ เบื่อๆ เซ็งๆ ดวงตาดูเศร้าๆ ซึ้งๆ พูดจาเบาๆ นุ่มนวลอ่อนโยน ยิ้มง่าย อารมณ์ ไม่ค่อยเสีย ไม่ค่อยโกรธใคร ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่น เดินแบบขาดจุดมุ้งหมาย ไร้ความมั่นคง

จุดแข็ง ไม่ฟุ้งซ่าน เข้าใจอะไรได้ง่ายและชัดเจน มีความรู้สึก มักตัดสินใจอะไรได้ถูกต้อง ทำงานเก่ง โดยเฉพาะงานประจำ ไม่ค่อยทุกข์หรือเครียดมากนัก เป็นคนดี เป็นเพื่อนที่น่าคบ ไม่ทำร้ายใคร

จุดอ่อน ไม่มีความมั่นใจ มองตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริงโทษตัวเองเสมอ หมกมุ่นแต่เรื่องตัวเองไม่สนใจคนอื่น ไม่จัดระบบความคิด ทำให้เสมือนไม่มีความรู้ ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่ชอบเป็นจุดเด่น สมาธิอ่อนและสั้นเบื่อง่าย อารมณ์อ่อนไหวง่ายใจน้อย

วิธีแก้ไข ตั้งเป้าหมายชีวิตให้ชัดเจน ฝึกสมาธิสร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง ให้จิตออกจากอารมณ์ โดยจับการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือเล่นกีฬา แสวงหาความรู้ และต้องจัดระบบความรู้ความคิด สร้างความแปลกใหม่ให้กับชีวิต อย่าทำอะไรซ้ำซาก
วิตกจริต
ลักษณะ พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ความคิดพวยพุ่ง ฟุ้งซ่านอยู่ในโลกความคิด ไม่ใช่โลกความจริง มองโลกในแง่ร้ายว่าคนอื่นจะเอาเปรียบกลั่นแกล้งเรา หน้าจะบึ้ง ไม่ค่อยยิ้ม เจ้ากี้เจ้าการ อัตตาสูงคิดว่าตัวเองเก่ง อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง ผัดวันประกันพรุ่ง

จุดแข็ง เป็นนักคิดระดับเยี่ยมยอด มองอะไรทะลุปรุโปร่งหลายชั้น เป็นนักพูดที่เก่ง จูงใจคน เป็นผู้นำหลายวงการ ละเอียดรอบคอบ เจาะลึกในรายละเอียด เห็นความผิดเล็กความผิดน้อยที่คนอื่นไม่เห็น

จุดอ่อน มองจุดเล็กลืมภาพใหญ่ เปลี่ยนแปลงความคิดตลอดเวลา จุดยืนกลับไปกลับมา ไม่รักษาสัญญา มีแต่ความคิด ไม่มีความรู้สึก ไม่มี วิจารณญาณ ลังแล มักตัดสินใจผิดพลาด มักทะเลาวิวาท ทำร้ายจิตใจ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มีความทุกข์ เพราะเห็นแต่ปัญหา แต่หาทางแก้ไม่ได้

วิธีแก้ไข เลือกความคิด อย่าให้ความคิดลากไป ฝึกสมาธิแบบอานาปานัสสติ เพื่อสงบสติ อารมณ์ เลิกอกุศลจิต คลายจากฟุ้งซ่าน สร้างวินัย ต้องสร้างกรอบเวลา ฝึกมองภาพรวม คิดให้ครบวงจร หัดมองโลกในแง่ดี พัฒนาสมองด้านขวา
ศรัทธาจริต

ลักษณะ ยึดมั่นอย่างแรงกล้าในบุคคล หลักการหรือความเชื่อถือและความศรัทธา คิดว่าตัวเองเป็นคนดี น่าศรัทธา ประเสริฐ กว่าคนอื่น เป็นคนจริงจัง พูดมีหลักการ

จุดแข็ง มีพลังจิตสูงและเข้มแข็งพร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองและสังคมไปสู่สภาพที่ดีกว่าเดิม มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล มีลักษณะความเป็นผู้นำ

จุดอ่อน หู่เบา ความเชื่ออยู่เหนือเหตุผล ถูกหลอกได้ง่าย ยิ่งศรัทธามาก ปัญญายิ่งลดน้อยลง จิตใจคับแคบ ไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่าง ไม่ประนีประนอม มองโลกเป็นขาวและดำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตนคิดว่าถูกต้อง สามารถทำได้ทุกอย่างแม้แต่ใช้ความรุ่นแรง

วิธีแก้ไข นึกถึงกาลามสูตร ใช้หลักเหตุผลพิจารณาเหนือความเชื่อ ใช้ปัญญานำทาง และใช้ศรัทธาขับเคลื่อน เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ ลดความยึดมั่นในตัวบุคคลหรืออุดมการณ์ ลดความยึดมั่นในตัวกูของกู
พุทธิจริต
ลักษณะ คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล มองเรื่องต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริงไม่ปรุงแต่ง พร้อมรับความคิดที่แตกต่างไปจากของตนเอง ใฝ่เรียนรู้ ช่างสังเกตุ มีความเมตตาไม่เอาเปรียบคน หน้าตาผ่องใส ตาเป็นประกาย ไม่ทุกข์

จุดแข็ง สามารถเห็นเหตุเห็นผลได้ชัดเจน และรู้วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างถูกต้อง อัตตาต่ำ เปิดใจรับข้อเท็จจริง จิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่จมปลักในอดีต และไม่กังวลในสิ่งที่จะเกิดในอนาคต พัฒนาปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ เป็นกัลยาณมิตร

จุดอ่อน มีความเฉื่อยไม่ต้องการพัฒนาจิตวิญญาณ ชีวิตราบรื่นมาตลอด หากต้องเผชิญพลังด้านลบ อาจเอาตัวไม่รอด ไม่มีความเป็นผู้นำ จิตไม่มีพลังพอที่จะดึงดูดคนให้คล้อยตาม

วิธีแก้ไข ถามตัวเองว่าพอใจแล้วหรือกับสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เพิ่มพลังสติสมาธิ พัฒนาจิตใจให้มีพลังขับเคลื่อนที่แรงขึ้น เพิ่มความเมตา พยายามทำให้ประโยชน์ให้กับสังคมมากขึ้น
ภูเขาสามารถถล่มมาเป็นถนน

แม่น้ำสามารถเปลี่ยนทางเดิน

แต่นิสัย ใจคอคน ยากแท้ที่จะเปลี่ยน
วิธีการอ่านและวิเคราะห์จิตใจคนน้ะคิคิ

หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ
การอ่านคนจากน้ำเสียง
อ่านคนจากลักษณะการพูดจา
หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ


1. มองหารูปแบบของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ

พฤติกรรมซ้ำ ๆ หมายถึง รูปแบบการกระทำที่ใช้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกหรือสถานการณ์เกิดขึ้นเป็น ประจำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิสัย เช่น เป็นคนกระตือรือร้น หรือเฉื่อยชา , เป็นคนชอบท่องเที่ยวหรือชอบอยู่เฉย ๆ เป็นต้น
ดังนั้น เราไม่ควรสรุปผู้อื่นจาก

· พฤติกรรมในครั้งแรกที่รู้จักกัน ( First Impression )
· พฤติกรรมในทาง Negative ที่นาน ๆ เกิดครั้งหนึ่ง

2. หาพฤติกรรมที่เป็นนิสัยของเขาจริง ๆ ( เกิดขึ้นตามธรรมชาติ )

ตามหลักพื้นฐาน พฤติกรรมของมนุษย์สามารถ แยกได้ 2 ประเภท คือ

1.) พฤติกรรมที่สร้างขึ้น อาจจะเพื่อบทบาทหน้าที่การงานในสังคม หรือ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง เป็นต้น

2.) พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือ พฤติกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็น " นิสัย " อาจมีสาเหตุจากการเลี้ยงดู หรือถูกหล่อหลอมจากสภาพสังคม เป็นต้น

คำถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพฤติกรรมที่คน ๆ นั้นแสดงเป็นของจริงหรือสร้างขึ้น ?

สังเกตจาก " ระดับความเข้มข้นของพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน " ปกติคนเราอาจมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปบ้าง แต่จะไม่ต่างจากลักษณะนิสัยเดิม ๆ มากนัก แต่ถ้าเบี่ยงเบนแบบสุดกู่ แสดงว่าเป็นพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อแยกได้แล้ว ไม่ต้องสนใจพฤติกรรมที่สร้างขึ้น ให้คอยสังเกต " จุดเปลี่ยน " เพื่อที่เราจะได้เลือกพฤติกรรมที่จะแสดงออกได้อย่างเหมาะสม

3. ต้องสรุปให้ได้ว่าบุคคลผู้นั้น " คบได้ " หรือ " ไม่น่าคบ "

· ลักษณะของคนที่น่าคบ มีนิสัยที่จัดอยู่ในประเภท " คนเมตตาผู้อื่น " คือ ใจกว้าง, ยุติธรรม, ดูจริงใจ , พร้อมที่จะให้อภัยผู้อื่น เป็นต้น

· ลักษณะของคนที่ไม่น่าคบ หรือคบได้แต่ต้องระวัง คือ พวกที่ทำอะไรหวังผลประโยชน์เพื่อตัวเองฝ่ายเดียว , มีความอาฆาตต้องการลงโทษผู้อื่น เป็นต้น

ข้อสังเกต : คน ๆ หนึ่งจะเป็นได้เพียงหนึ่งลักษณะเท่านั้น คือ เมตตา หรือ ไม่เมตตา

4. มองหาจุดแตกต่าง

ต้องแยกให้ออกว่า การกระทำหรือบุคลิกลักษณะภายนอกอะไรบ้างที่ขัดแย้งกับภาพรวมทั้งหมดของคน ๆ นั้น เพราะภายใต้ความแตกต่างนั้น ย่อมมีเหตุสำคัญบางประการ และถ้าเราค้นพบที่มาของความแตกต่างนั้นได้ จะทำให้เรารู้จักคน ๆ นั้นได้อย่างลึกซึ้งและถูกต้องตามความจริง

สรุป : การที่เราจะอ่านความคิดผู้อื่นได้ถูกต้องตามสถานการณ์ หรือ ณ เวลานั้น ๆ เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า อะไรคือพฤติกรรมซ้ำซากแท้จริงที่ถูกหล่อหลอมจน กลายเป็น " นิสัย " ของเขา เมื่อนั้นเราจึงจะสามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้

อ่านคนจากลักษณะการพูดจา

1. วิธีการตอบคำถาม

· นิ่ง : ผู้ที่ถูกกล่าวหาแล้วนิ่งให้สงสัยไว้ก่อนว่า มีส่วนในความผิดนั้นจริง
· พูดยืดยาว : แสดงว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่รู้เรื่องนั้น

2. พูดจาหยาบคาย หรือชอบสาบานตลอดเวลา

· เป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หรือตื่นเต้นตกใจง่าย
· จิตใจโหดร้าย, ชอบข่มขู่ผู้อื่น

3. เปลี่ยนเรื่องพูด อาจมาจากสาเหตุ ดังนี้

· เบื่อเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่
· ปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นจึงไม่อยากพูด

ข้อสังเกต : ความเกี่ยวโยงของเรื่องที่เปลี่ยน ถ้าไม่มีความเชื่อมโยงของเรื่องที่เปลี่ยนแสดงว่ากำลังปกปิดความจริง

4. คนที่เปิดเผยตัวมาก

· เขาสนในเราจึงยอมเปิดข้อมูลเยอะ หรือ
· อาจต้องการสร้างภาพ

5. คนที่ชอบพูดคำว่า ลุย

· เป็นคนค่อนข้างก้าวร้าว

ขอบคุณ teenee.com
5 วิธีอ่านใจคนแบบง่ายๆน้ะค้าบบบ
อัลแลน และบาร์บารา พีส (Allan and Barbara Pease)สองสามีภรรยาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากาย ได้ใช้เวลากว่าสิบปีในการสังเกตุท่าทางของมนุษย์เพราะเขาเชื่อว่า หากคนเราให้ความสนใจกับตัวเลขร้อยละ 38 ที่เกิดจากภาษากายและสามารถอ่านความหมายได้ถูกต้อง เราจะเข้าใจผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในขณะที่การเพิกเฉยและขาดความสนใจจะนำไปสู่ความกลัวและความเชื่อผิดๆ
หากพร้อมแล้วเราไปดูกันเลย เริ่มจาก ท่ากอดอก มือและแขนไว้ทับกันอยู่บริเวณหน้าอก ไม่ว่าจะเป็นการกอดอกในท่านั่งหรือยืน หมายถึง การปิดกั้น ความเห็นขัดแย้ง ความไม่พอใจ ความหวาดระแวง หากมีผู้ฟังกอดอกตลอดการสนทนา นั่นแปลว่า เขากำลังรู้สึกขัดแย้งกับสิ่งที่เราพูด หากเป็นการเสนองาน มีความเป็นไปได้สูงว่า เมื่อเราพูดจบ เขาจะไม่ตอบตกลง
เช่นเดียวกัน ขณะที่เรากอดอก ไม่ว่าจะรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม แต่คู่สนทนาของเราจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งจะทำให้เขาคล้อยตามเราได้ยากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ควรทำท่ากอดอกเมื่อต้องเจรจาต่อรองหรือเข้าประชุม
วิธีแก้สถานการณ์ 1.หากคู่สนทนายังกอดอกแน่น ให้คุณยื่นสิ่งของเช่น เอกสาร แก้วน้ำหรือเครื่องดื่ม ให้เขาถือหรือดู เชื่อไหมว่า นักขายผู้สามารถใช้วิธีนี้ในการเปิดใจลูกค้า จะสามารถปิดการขายได้สำเร็จ
2.ขณะเจรจาให้ยื่นมือไปแตะที่บริเวณข้อศอกของคู่สนทนา แช่มือไว้ประมาณ 3 วินาที แล้วจึงชักมือออก นี่เป็นเทคนิคที่ได้จากงานวิจัยของนักศึกษา มหาวิทยาลัยมินนิโซตา ซึ่งได้ทดลองทิ้งเหรียญไว้ในตู้โทรศัพท์ เมื่ออาสาสมัครใช้โทรศัพท์เสร็จแล้ว ผู้วิจัยจะเดินเข้าไปถามหาเหรียญดังกล่าว ผลปรากฎว่าหากระหว่างถามผู้วิจัยใช้มือแตะข้อศอกของอาสามัครแช่ไว้ 3 วินาที อาสาสมัครจะยอมคืนเหรียญมากถึงร้อยละ 68 (วิธีนี้มีข้อพึงระวังเล็กน้อย หากแตะเหนือกว่าหรือต่ำกว่าข้อศอกจะไม่มีผล)
ท่ากอดตัวเอง มือข้างหนึ่งเลื่อนมาจับที่ข้อศอกหรือแขนทางด้านหน้า หมายความว่าความโดดเดี่ยว ความเครียด ท่านี้อัลแลนอธิบายว่า คนเรามักทำท่ากอดตัวเองเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย หรือมีความกังวลใจในสถานภาพของตน เพราะมือที่พาดมาด้านหน้าเปรียบเสมือนเกราะกำบังนั่นเอง
หากเราพบเห็นเพื่อนฝูงหรือใครทำท่านี้ อาจแปลได้ว่า เขากำลังกังวลกับเรื่องบางอย่าง ซึ่งอาจเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่างเสื้อผ้า หน้าผม หรือรูปร่าง ก็ได้ เราจึงควรระมัดระวังคำพูดให้มาก และหลีกเลี่ยงการพูดล้อเลียน
ทำมือแบบนี้= กำลังประหม่า ถ้าเราเห็นผู้ชายขยับกระดุมข้อมือหรือจัดสายนาฬิกาบ่อยๆ นั่นแปลว่าเขากำลังประหม่า ส่วนผู้หญิงที่ชอบถือกระเป๋าไม่ปล่อย ก็แปลได้ว่าเธอกำลังประหม่าเช่นกัน
หงายฝ่ามือ ขณะที่พูดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็หงายฝ่ามือไปด้วย หมายความว่า มีความสนใจ ความเห็นด้วย อัลแลนระบุว่า เมื่อคนเราหงายฝ่ามือเพื่อประกอบคำพูด นั่นแปลว่าเขากำลังพูดถึงสิ้นที่ตนเองพอใจและมั่นใจ นอกจากนี้การหงายฝ่ามือประกอบการอธิบายจะช่วยให้อีกฝ่ายจดจำข้อมูลได้มากกว่าการไม่ใช้มือถึงร้อยละ 30 เชียวนะ
ท่าจับมือไขว้หลัง มือข้างหนึ่งไขว้หลังไปจับมืออีกข้างหนึ่ง หมายความถึงความเหนือชั้น ความมั่นใจ ความเป็นผู้นำ ท่านี้เป็นท่าพักของตำรวจหรือทหารที่เราสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป คนที่ทำท่านี้อย่างเป็นธรรมชาติ มักจะอยู่ในอารมณ์ที่ปราศจากความกลัว และมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เราสามารถใช้ประโยชน์จากท่านี้ด้วยเพราะหากเรากำลังอยู่ในสภาวการณ์ที่มีความตึงเครียดสูง การทำท่าจับมือไขว้หลังจะทำให้เรารู้สึกมั่นใจมากขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าหากมือที่ไขว้มาด้านหลังจับอยู่ในบริเวณที่ไม่ใช่มือ เช่นจับข้อมือ หรือข้อศอก นั่นแปลว่า คนๆนั้นกำลังหงุดหงิด และพยายามจะควบคุมตัวเอง ยิ่งมือจับแขนสูงมากขึ้นเท่าใด อารมณ์ของคนผู้นั้นก็น่าจะหงุดหงิดหรือโกรธมากขึ้นเท่านั้น
ท่าปิดปาก ยกมือ นิ้ว หรือกำปั้นมาปิดที่บริเวณปาก ความหมายคือ พูดไม่จริง หรือมีอะไรบางอย่างปิดบังอยู่
เช่นเดียวกันกับท่าทางอื่นๆที่คนเรามักแสดงออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว คนที่โกหกมักจะทำท่าอย่างนี้โดยอัตโนมัติ หากเราเห็นคนทำท่าปิดปากขณะที่เรากำลังนำเสนอข้อมูล ก็อาจแก้ไขสถานการณ์ด้วยการถามเจาะจงไปว่า “มีคำถามอะไรไหม”เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้ซักถาม
จะเห็นได้ว่า เพียงแค่มือสองข้างก็สามารถคลี่คลายความรู้สึกได้มากมาย นอกจากจะทำให้เราเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ระหว่างการสนทนาแล้ว ยังทำให้เราสามารถจับสัมผัสความรู้สึกของตัวเองได้อย่างละเอียดมากขึ้น
เมื่อตั้งหลักถามตัวเองบ่อยๆก็แปลว่าคุณมีสติรู้ตัวเองมากขึ้น แล้วโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการสนทนาจะพ้นมือคุณไปได้อย่างไร……
ที่มา ISNHOTNEWS
การแฮ็คจิตใต้สำนึกเป็น มายากล หรือ วิทยาศาสตร์ พบคำตอบได้ใน DECEPTION WITH KEITH BARRY
 

กรุงเทพฯ--1 ธ.ค.--บางกอก พับบลิค รีเลชั่นส์
การอ่านใจคน การปลูกฝังความคิด การทำนายพฤติกรรม และการแฮ็คเข้าไปในจิตใต้สำนึก อาจฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่มีชายคนหนึ่งทำได้ เขาคือ คีธ แบร์รี นักมายาจิตผู้โด่งดัง เขาขุดลึกลงไปสู่ปริศนาแห่งจิตใจ เพื่อเปิดเผยว่าคนธรรมดา ๆ จะสามารถควบคุมความสามารถของตนเอง และคนอื่นให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร ในซีรี่ส์ใหม่เอี่ยมของดิสคอฟเวอรี่ แชนแนล ชุด Deception with Keith Barry จะออกอากาศรอบปฐมทัศน์ทุกวันพุธ เวลา 20.00 น. เริ่มวันที่ 7-28 ธันวาคม 2554 ทางช่องดิสคอฟเวอรี่ แชนแนล (ทรูวิชั่นส์ 20) ถาม: ช่วยบอกสั้นๆ เกี่ยวกับรายการนี้ และการที่คุณมาเป็นนักมายาจิตได้อย่างไร?
คีธ ผมเริ่มต้นจากการเป็นนักมายากลตั้งแต่อายุยังน้อย ผมคิดว่าตอนผมอายุห้าหรือหกขวบ ผมได้ของขวัญคริสตมาสเป็นชุดเล่นกล ความสนใจของผมจึงเริ่มต้นขึ้นจากตรงนั้น และจากชุดเล่นกลเหมือนนักมายากลทั้วไป หลังจากนั้นเมื่ออายุ 18 ผมไปเรียนวิทยาลัยและเรียนสาขาเคมี ตอนที่เรียนในวิทยาลัยผมได้พบแฟนซึ่งเวลานี้คือภรรยาผม ตอนนั้นเธอเรียนจิตวิทยา และนั่นทำให้ผมเริ่มสนใจจิตวิทยา การสะกดจิต และการโปรแกรมด้วยภาษาระบบประสาท อันที่จริงแล้วผมอาจจะศึกษาตำราจิตวิทยาของเธอมากกว่าเธอด้วยซ้ำ ถึงแม้ตอนนั้นผมจะเรียนเคมีก็ตาม
หลังจากนั้น เมื่อผมจบจากวิทยาลัย ผมก็มาเป็นนักวิทยาศาสร์เครื่องสำอาง ซึ่งหมายความว่าผมเคยคิดค้นเครื่องสำอางของผู้หญิงและอะไรต่าง ๆ และตลอดเวลาผมก็แสดงมายากล และเริ่มผสมจิตวิทยา การสะกดจิต และมายากลเข้าด้วยกัน ผมคิดว่าจนเกือบจะเรียกได้ว่าผมเริ่มสร้างหรือเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่าการอ่านจิต โดยพื้นฐานแล้ว ผมคิดว่าการอ่านจิตก็คือคำเรียกที่ง่ายที่สุดของนักมายาจิต มันหมายถึงคนที่แฮ็คเข้าไปในสมองของบางคน ความจริงแล้วมันคือมายากลทางความคิด ซึ่งตรงกันข้ามกับมายากลทางกายภาพ
ผมคิดว่าผมทำแบบนั้นมาตั้งแต่ผมอายุ 20 ต้น ๆ ผมใช้มายาจิตเป็นหลัก แทนที่จะเล่นมายากล และนั่นนำผมมาสู่รายการ Deception with Keith Barry ด้วยรายการนี้ผมตัดสินใจจะเปิดเผยบางส่วนว่าผมทำสิ่งที่ผมทำได้อย่างไร แต่ก็ยังซ่อนปริศนาเบื้องหลังการสาธิตเหล่านั้นไว้ ยกตัวอย่างเช่น ในรายการตอนหนึ่ง ผมจะสาธิตโดยการประเมินไอคิว คุณจะสามารถบอกว่าใครสักคนกำลังคิดอะไรได้อย่างไร โดยขึ้นอยู่กับว่าไอคิวของเขาอยู่ตรงไหน เรื่องนี้อาศัยการโปรแกรมด้วยภาษาระบบประสาท ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นเทคนิคสำหรับวิธีประมวลข้อมูล นี่คือที่มาที่ไปของรายการนี้ว่าเริ่มมาอย่างไร และผมมาถึงจุดที่ผมอยู่ในปัจจุบันได้อย่างไร
ถาม: รายการนี้แตกต่างจากรายการมายากลเรียลลิตี้อื่นอย่างไร?
คีธ ผมคิดว่ามีข้อแตกต่างหลัก ๆ อยู่สองสามข้อ – ข้อแรกคือรายการนี้ไม่มีมายากลเลย ที่แสดงให้เห็น คือพลังความคิดของมนุษย์ และความคิดนั้นถูกแฮ็คเข้าไปได้อย่างไร และคุณสามารถปลูกฝังความคิดและสกัดความคิดออกมาได้อย่างไร ยกตัวอย่างนะครับ รายการตอนหนึ่งมีหัวข้อหลักคือการสะกดจิต สิ่งที่ทำให้รายการนี้แตกต่างจากรายการมายากล หรือแม้แต่รายการสะกดจิตทุกรายการก็คือ ผมพูดถึงส่วนที่รู้จักกันในนาม “สายลับฝังตัว” ซึ่งเรื่องเหล่านี้ซีไอเอในอเมริกาทำเมื่อทศวรรษที่ 60 และ 70 พวกเขาใช้การสะกดจิตเพื่อทำให้คนทำสิ่งที่ตนไม่ต้องการจะทำ และโดยที่คนทำนั้นไม่ยินยอม
สิ่งที่ผมพบคือ ความจริงแล้วคุณสามารถทำให้คนอื่นทำสิ่งที่ฝืนหลักศีลธรรม ฝืนค่านิยมโดยที่เขาไม่ยินยอมได้ ยกตัวอย่างเช่นผมพาผู้ชายมาคนหนึ่ง และโปรแกรมให้เขาเป็นสายลับฝังตัว พูดอีกอย่างก็คือผมโปรแกรมเขาให้เป็นคนร้าย คุณจะเห็นในรายการว่าในความคิดของเขา เขากลายเป็นสายลับจริงๆ ในความคิดของเขา ในรายการ ผมทำให้เขาเชื่ออย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่งว่าเขาได้ลอบสังหารใครบางคน ลอบสังหารสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นสายลับจากประเทศอื่น
มันเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก เพราะคุณจะเห็นได้ว่าชายคนนี้ถูกสะกดจิตจนถึงจุดที่เป็นเหมือนผีดิบจริง ๆ และในตอนจบ เมื่อผมปลุกเขาจากภวังค์ เมื่อผมนำเขาออกจากการสะกดจิต เขาก็ร้องไห้โฮออกมา ผู้ชมทางบ้านอย่างคุณจะรู้ได้ว่าไม่มีทางที่จะแสร้งทำแบบนั้น และเขาถูกโปรแกรมความคิดจริง ๆ
นั่นคือการแสดงตอนหนึ่ง มันแตกต่างอย่างมากจากรายการอื่น ๆ ทั้งหมด นอกจากนั้นผมคิดว่าภายในบริบทของการแสดงตอนอื่น ๆ บางตอน การแสดงตอนหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกเดท อีกตอนเกี่ยวกับตำรวจทางตอนใต้ของลอสแองเจลิส ผมเปิดเผยนิดหน่อยว่าผมทำสิ่งที่ผมทำได้อย่างไร
แต่ก็ไม่เฉลยมากเกินไป พูดอีกอย่างก็คือ ยังคงมีปริศนามากมายในนั้น มันไม่เหมือนรายการเหลวไหลที่พวกคุณบางคนอาจเคยเห็น เช่นรายการ Masked Magician ผมจะไม่เปิดเผยแค่กลเม็ด หรือวิธีการเบื้องหลังสิ่งต่าง ๆ แต่ผมจะให้ความเข้าใจลึกซึ้งเรื่องความคิดของมนุษย์ และวิธีการทำงานของมัน และสอนผู้ชมทางบ้านว่าเขาสามารถไปลองใช้วิธีนี้กับเพื่อนและครอบครัวของเขาอย่างไร มันมีลักษณะปฏิสัมพันธ์มากในด้านนั้น นอกจากนั้นผมคิดว่านี่ยังทำให้มันสนุกขึ้นเยอะสำหรับผู้ชม
และสุดท้าย หนึ่งในการสาธิตที่ผมทำขณะที่ผมใช้เวลากับตำรวจทางตอนใต้ของลอสแองเจลิส ผมถามตำรวจคนหนึ่งว่า “คุณคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่ผมจะแฮ็คเข้าไปในความคิดของคุณ ถ้าคุณช็อตผมด้วยปืนช็อตในเวลาเดียวกัน?” แน่นอน เขาตอบว่า “ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้” ผมบอกว่า “ผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นไปได้เหมือนกัน แต่มีเพียงทางเดียวที่จะทดสอบทฤษฎีนี้ คือคุณต้องช็อตผม และระหว่างที่คุณช็อตผม ให้คุณคิดเรื่องอะไรก็ได้ในโลกที่คุณอยากคิด” ด้วยวิธีนี้ ตำรวจคนนั้นเขาช็อตผมด้วยไฟฟ้า 50,000 โวลต์จากปืนของเขา ในขณะที่ผมพยายามแฮ็คเข้าไปในความคิดของเขา คุณต้องมาดูรายการนี้เพื่อจะรู้ว่าผมทำสำเร็จหรือไม่
ถาม: ในเอเชียมีการถกเถียงเกี่ยวกับจิตวิทยาและปรากฏการณ์ปาฎิหาริย์มากขึ้น คุณตีความหมายความสนใจในเรื่องอิทธิฤทธิ์ และความเชื่อในสิ่งที่ปกติจะมองไม่เห็นหรือสัมผัสไม่ได้อย่างไร?
คีธ ครับ ผมสนใจเรื่องปรจิตวิทยาและโลกด้านนั้นมาก ผมเป็นคนแบบที่ผมขอเรียกว่าคนช่างสงสัยในทางที่ดี ถ้าคุณจะเรียกแบบนั้นนะ พูดอีกอย่างก็คือ ผมไม่เคยเชื่อสิ่งที่ผมเห็นในทันทีที่ผมเห็นสิ่งนั้น ผมชอบเสมอที่จะค้นหาความจริงและดูคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลมาก ๆ สำหรับบางเรื่อง ผมคิดว่าในยุคสมัยที่เราอยู่ ผมเชื่อจริง ๆ ว่าปรจิตวิทยากำลังจะได้รับความนิยมมากกว่าที่เป็นอยู่ มันเป็นเรื่องใหญ่ในทั่วโลก ทุกเรื่องตั้งแต่ผี วิญญาณ เทพยดา ไปจนถึงญาณวิเศษและเรื่องปาฏิหาริย์ทุกอย่าง ผมคิดว่าคนในสมัยใหม่ ยิ่งเราถูกผลักดันด้วยเทคโนโลยีมากเท่าไร ผู้คนก็ยิ่งแสวงหาสิ่งที่ลึกลับมากเท่านั้น พูดตามตรงนะ มันเป็นเรื่องน่าสนใจมากสำหรับผม ผมชอบเรื่องแนวนี้ทั้งหมด
อันที่จริงแล้วผมค้นหาความจริงในด้านนี้อยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่น ที่ไอร์แลนด์นี่ผมค่อนข้างมีชื่อเสียงเรื่องการค้นหาความจริงเรื่องผู้มีญาณวิเศษ และผมได้ข้อสรุปว่าอย่างน้อยในยุโรปนี่ รวมทั้งในอเมริกาซึ่งผมถ่ายทำรายการนี้ ผมยังไม่พบหรือเห็นผู้มีญาณวิเศษของจริง พูดอีกอย่างก็คือ ผมเชื่อว่าผู้มีญาณวิเศษทั้งหมดนี้เป็นของปลอม ผมคิดว่าพวกเขาแสร้งทำเป็นผู้มีญาณวิเศษ แต่พวกเขาใช้เทคนิคซึ่งคนทั่วไปไม่รู้
พูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาใช้เทคนิคการอ่านใจ พวกเขาใช้เทคนิคการหาข้อมูล เทคนิคการเตรียมข้อมูลล่วงหน้า ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคลับซึ่งทำให้ดูเหมือนคนกำลังอ่านใจได้ ในขณะที่ความจริงแล้วพวกเขาทำคล้าย ๆ กับที่ผมทำ ซึ่งก็คือพวกเขากำลังอ่านภาษากาย และใช้เทคนิคอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อทำให้ดูเหมือนพวกเขามีสัมผัสที่หก
ครับ ผมคิดว่าโลกเกี่ยวกับปาฏิหาริย์นั้นน่าสนใจมาก ผมอยากเจอคนมีญาณวิเศษของจริง หรือผมอยากเจอผีด้วยตัวเอง แต่มันก็ยังไม่เกิดขึ้น
ถาม: ใคร ๆ ก็เป็นนักมายาจิตได้ ใช่หรือเปล่าครับ?
คีธ ใช่ครับ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น ผมฝึกฝนและเรียนรู้มาเกือบตลอดชีวิตเพื่อจะมาถึงจุดที่ผมอยู่ในปัจจุบัน ผมได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าผมเริ่มต้นจากการเป็นนักมายากล แต่ความจริงแล้วผมศึกษาจิตวิทยา การสะกดจิต การโปรแกรมด้วยภาษาระบบประสาท และมายากล มาตั้งแต่ผมอายุ 18 ตอนนี้ผมทำมา 17 ปีแล้ว แต่ผมได้ฝึกฝนตัวเอง และผมได้ฝึกฝนความคิดของผมเพื่อจะทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
ผมคิดว่าคำแนะนำที่ดีที่สุดที่ผมสามารถให้แก่คนที่สนใจ – เพราะมีคนถามคำถามนี้กับผมเยอะ “คุณมาเป็นนักมายาจิตได้ยังไง?” – ก็คือให้คุณอ่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เกี่ยวกับการเป็นนักมายาจิต ผมคิดว่าอีกคำถามก็คือคุณจะเริ่มต้นจากตรงไหน?
คุณสามารถเริ่มต้นจากหนังสือเกี่ยวกับการโปรแกรมด้วยภาษาระบบประสาท คนที่คิดค้นและเขียนเรื่องการโปรแกรมด้วยภาษาระบบประสาท เขาชื่อริชาร์ด แบนด์เลอร์ ดังนั้นผมขอแนะนำเป็นพิเศษให้คุณอ่านหนังสือเล่มไหนก็ได้ที่เขาเขียน คุณจำเป็นต้องศึกษาเรื่องการโปรแกรมด้วยภาษาระบบประสาท นอกจากนั้นคุณจำเป็นต้องศึกษาเรื่องการสะกดจิต หนังสือเรื่องการสะกดจิตที่ดีที่สุดนั้นเขียนโดยคนชื่อมิลตัน อีริคสัน
ผมอ่านหนังสือเหล่านั้นมาแล้วทุกเล่ม แล้วคุณก็ต้องมีพื้นฐานด้านมายากลเช่นกัน ผมจึงอ่านหนังสือต่าง ๆ เกี่ยวกับมายากล และเรียนรู้วิธีผสมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วนั่นคือสิ่งที่ผมได้ทำมา จากนั้นคุณก็ต้องลองทำสิ่งเหล่านี้กับคนอื่น ในช่วงแรก ๆ คุณจะล้มเหลวหลายครั้ง และรู้สึกว่าตัวเองโง่นิดหน่อย แต่บางครั้งนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผู้ชายแตกต่างจากเด็กผู้ชาย อย่างที่เขาพูดกัน คนที่สามารถยอมรับความล้มเหลว และยังคงเพียรพยายามต่อไป ก็จะเรียนรู้และก้าวหน้า
สำหรับใครก็ตามที่อยากจะเป็นนักมายาจิต นั่นคือสิ่งที่ผมจะแนะนำ คือให้ศึกษา ศึกษา ศึกษา และฝึกฝน ฝึกฝนเทคนิคทั้งหมดนี้ต่อหน้าผู้คนจริง ๆ ให้คุณฝึกฝนกับเพื่อน ฝึกฝนกับครอบครัว แล้วก็ก้าวต่อไปจากตรงนั้น
ถาม: ถ้าพูดในแง่วิชาการ คุณสามารถใช้มายาจิตปล้นเงินจากธนาคารได้ไหม?
คีธ ในอดีตมีคนชื่อโวล์ฟ เมสซิง เขาเป็นนักใช้พลังจิตมือหนึ่งของสตาลิน สตาลินสงสัยว่า โวล์ฟ เมสซิง จะทำการปล้นธนาคารได้หรือไม่? คำตอบคือ ทำได้
โวล์ฟ เมสซิง เข้าไปและเอาเงินออกมาจากธนาคารโดยใช้การสะกดจิต เขาสะกดจิตพนักงาน Teller ที่เคาน์เตอร์ของธนาคาร ให้ส่งเงินสดทั้งหมดมาให้เขา นี่ไม่ใช่เรื่องแต่ง นี่เป็นเรื่องจริง มันอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ มันเกิดขึ้นจริง ๆ ที่โวล์ฟ เมสซิงปล้นธนาคารโดยใช้การสะกดจิต
แต่ในการแสดงตอนหนึ่ง ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าคุณจะโปรแกรมบางคนได้อย่างไร ให้เขาทำสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรมหรือค่านิยมของเขา ในรายการที่ผมทำให้ดิสคอฟเวอรี่ ผมให้ชายคนหนึ่งไปที่เครื่องเอทีเอ็ม เบิกเงินออกมาสองร้อยดอลลาร์ แล้วเขาก็ทิ้งมันลงไปในถังขยะ ในสภาพถูกสะกดจิต เขาไม่รู้เลยว่าเขาทิ้งมันลงไปในถังขยะ จนกระทั่งผมวิ่งไปหาเขาและเอาเงินนั้นคืนเขา ผมเชื่อแน่นอนว่าธนาคารสามารถถูกปล้นโดยใช้การสะกดจิตได้ ผมเคยทำหรือยัง? ผมกำลังบอกพวกคุณว่าผมไม่เคย
เช่นเคยครับ คุณสามารถหาดูได้ทางยูทูบ ว่าพวกเขากำลังค้นหาว่ามีนักสะกดจิตคนไหนเคยปล้นธนาคารโดยใช้การสะกดจิต อย่างเช่นภาพจากกล้องวงจรปิดที่เห็นคนสะกดจิตพนักงานรับฝากถอนของธนาคาร ให้ส่งเงินให้ ความจริงแล้วมันเป็นอาชญากรรมที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกในเวลานี้
ความจริงแล้วผมจำชื่อแก๊งนี้ไม่ได้ แต่พวกคุณอาจจะรู้ ผมรู้มาว่ามีแก๊งนักสะกดจิตในฟิลิปปินส์กำลังเที่ยวปล้นประชาชน ผมจำชื่อแก๊งนี้ไม่ได้ ดังนั้นขอให้ระวัง
นักมายากลคนนี้เป็นคนที่ผมชอบบม้ากกกกคุณชอบกันไหม????

แฮร์รี ฮูดินี่
 (อังกฤษ: Harry Houdini) อดีตนักมายากลชาวอเมริกันเชื้อสายฮังกาเรียน ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ฮูดินี่ เกิดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1874 ในครอบครัวชาวยิว ที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี โดยมีชื่อเดิมว่า เอริช ไวลส์ (Erich Weisz) ขณะที่ตัวเขาเองสะกดจะชื่อว่า Ehrich Weiss แต่จากบทสัมภาษณ์ของฮูดินี่เอง เขาอ้างว่าเขาเกิดที่เมืองแอปเปิลตัน รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1874
เมื่ออายุได้ 4 ขวบ ครอบครัวของฮูดินี่ได้อพยพมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาด้วยเรือกลไฟ ขึ้นฝั่งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1878 โดยตั้งรกรากที่เมืองแอปเปิลตัน รัฐวิสคอนซิน ก่อนจะย้ายไปปักหลักที่นิวยอร์กเนื่องจากถูกยึดที่ ฮูดินี่ในวัยเด็กทำงานแทบทุกอย่าง และยังเป็นนักวิ่งครอสคันทรี่ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศด้วย ฮูดินี่เข้าสู่วงการกายกรรมและมายากลครั้งแรกเมื่ออายุได้ 10 ขวบ ด้วยการเล่นกายกรรมเหินเวหา จนตัวเขาเองตั้งฉายาให้ตัวเองว่า "เอริช เจ้าเวหา"
ในปี ค.ศ. 1894 ฮูดินี่ ได้เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นฮูดินี่เมื่อเป็นนักมายากลอย่างเต็มตัวแล้ว โดยชื่อ แฮร์รี่ มาจากชื่อของ แฮร์รี่ เคลลาร์ นักมายากลชาวอเมริกัน และ ฮูดินี่ ดัดแปลงมาจากชื่อของ ฌอง ยูจีน โรแบร์-อูแดง นักมายากลชาวฝรั่งเศส โดยเพื่อนชาวฝรั่งเศสของเขาบอกว่า ถ้าเติมตัว I หลังคำว่า Houdin จะแปลว่า "เหมือนอูแดง" จึงกลายมาเป็น ฮูดินี่
ในระยะแรก การแสดงของฮูดินี่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก ด้านชีวิตครอบครัว เขาแต่งงานกับ วิลเฮมมีนา บีทรีซ เมื่อปี ค.ศ. 1893 หลังจากที่รู้จักกันมาได้เพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น และหลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นผู้ช่วยของฮูดินี่ในการแสดงบนเวที
กลของฮูดินี่ ที่ได้รับความนิยมและทำให้เขามีชื่อเสียงนั้น ก็คือ การเอาตัวเองให้หลุดรอดจากการพันธนาการต่าง ๆ เช่น โซ่ เชือก หรือกุญแจมือ ในบางครั้งยังเพิ่มเงื่อนไขความตื่นเต้นขึ้นอีก เช่น การนำตัวเองไปห้อยกับเครนที่ยกลอยอยู่ระหว่างตึก หรือ ล่ามโซ่ตัวเองในถังน้ำเหล็กที่ปิดฝามิดชิด เป็นต้น จนกระทั่งฮูดินี่ได้รับฉายาว่า "The Handcuff King" นอกจากนี้แล้วฮูดินี่ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่ง โดยเขามักจะให้ผู้ชมชกที่หน้าท้องของเขา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อหน้าท้องตนเอง
จากการแสดงที่น่าตื่นเต้นเหล่านี้ ทำให้ฮูดินี่มีชื่อเสียงโด่งดังและกลายเป็นนักแสดงคนหนึ่ง มีภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเขามากมาย ซึ่งบางคนเชื่อว่ามันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ซึ่งฮูดินี่เองก็สนใจในเรื่องนี้เช่นกัน เขาได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ รวมทั้งเคยจ้างคนทรงเพื่อติดต่อกับวิญญาณของแม่ตนเองที่เสียชีวิตไปแล้วด้วย
กระนั้น ฮูดินี่เองก็เคยเปิดโปงเรื่องการทรงเจ้าเข้าผีเช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง ในคนทรงหลายคนที่มีชื่อเสียง จนทำให้เขาตกเป็นเป้าของผู้ที่เชื่อเรื่องนี้หลายคน ซึ่งรวมถึง เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยด์ นักเขียนชาวอังกฤษ เจ้าของบทประพันธ์เรื่อง เชอร์ล็อก โฮล์มส์ อันโด่งดังด้วย เนื่องจาก ดอยด์เป็นบุคคลที่เชื่อในเรื่องนี้
ฮูดินี่เสียชีวิตอย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1926 จากการแสดงที่เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา เมื่ออายุได้ 52 ปี จากอาการปวดในช่องท้องอย่างรุนแรง ซึ่งอาการนี้ได้เกิดขึ้นมา 2 วันก่อนหน้านี้แล้ว รวมทั้งมีไข้ขึ้น 2 องศาด้วย แต่ฮูดินี่ก็ไม่ยอมไปพบแพทย์ เขายังคงทำการแสดงอยู่ หลังการแสดงเขาถูกผู้ชมคนหนึ่ง ชกเข้าที่หน้าท้องอย่างรุนแรงแบบที่เขาชอบท้าให้ชกอยู่บ่อย ๆ โดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
ในปัจจุบัน เชื่อว่าฮูดินี่เสียชีวิตเพราะไส้ติ่งอักเสบ และการถูกชกเข้าที่หน้าท้องยิ่งทำให้อาการหนักยิ่งขึ้น แต่ก็มีบางส่วนเชื่อว่าเขาเสียชีวิตเพราะถูกวางยาจากบุคคลที่เสียประโยชน์จากการเข้าทรงที่ฮูดินี่ได้เปิดโปง
ความหมายของมายากลน้ะค้าบ
 1.มายากล คืออะไร?

มายากล คือ ศาสตร์ และศิลป ทางการแสดงอย่างหนึ่งในลักษณะที่ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้ดูเหมือนหรือคล้ายกับว่ามันเป็นไปได้จริง โดยทำให้ผู้ชมเกิดความบันเทิง หรือสนุกสนาน

ที่ว่ามายากล เป็นศาสตร์นั้น ก็หมายถึง มายากลเป็นความรู้อย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยการอ่านตำรา, การศึกษาทั้งผู้ที่เป็นนักมายากล หรือ อาจศึกษาจาก VCD ก็ได้เพื่อทำให้นักแสดงรู้ถึงเทคนิคการแสดงใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และเป็นความรู้ที่มีไม่จบสิ้น และที่ว่ามายากล เป็นศิลปนั้น ก็หมายความว่า มายากลต้องอาศัยทักษะ, การฝึกฝน เพื่อทำให้การแสดงดูราบรื่น และลดความผิดพลาดทางการแสดงลง และต้องมีการสร้างวิธีการนำเสนอที่ดี ซึ่งจะทำให้การแสดงดูดีไปด้วย







2. มายากลแบ่งเป็นกี่ประเภท

มายากล แบ่งเป็นกี่ประเภทนั้น ขึ้นอยู่ที่ว่าผู้จำแนกประเภทยึดเอาอะไรเป็นสำคัญ เช่น ถ้ายึดถือเอาระยะของการแสดงเป็นสำคัญ มายากลก็จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ มายากลระยะใกล้ และมายากลระยะไกล หรือถ้าหากแบ่งตามลักษณะฝีมือการแสดง ก็จะแบ่งเป็น มายากลฝีมือ และมายากลอุปกรณ์ ซึ่งบางคนเรียกกลประเภทนี้ว่า กลกดปุ่ม เป็นต้น แต่สำหรับผมแล้วจะถือเอาเสียงส่วนใหญ่ของนักมายากลโดยแบ่งมายากลออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ คือ

1. มายากลระยะใกล้ (Close up) - ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าระยะใกล้ กลประเภทนี้มักจะใช้อุปกรณ์การนำเสนอชิ้นไม่ใหญ่มาก ซึ่งถ้าดูไกล ๆ จะมองไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด กลประเภทนี้จึงเหมาะกับการดูใกล้ ๆ และมักจะเป็นของใช้ใกล้ ๆ ตัว เช่น กลเกี่ยวกับไพ่, กลเหรียญ, ปากกา, ดินสอ, ช้อน เป็นต้น หรืออาจเรียกว่า มายากลประเภท Street Magic ก็ได้ ท่านคงจะเคยเห็นนักแสดงมายากลเดินเล่นมายากลไปตามถนน หรือสถานที่ต่าง ๆ ให้คนได้ดูกัน

2. มายากลระยะไกล หรือมายากลเวที (State Magic) - เป็นมายากลที่เวลาแสดงอาจต้องมีระยะห่างระหว่างผู้แสดง และผู้ชมบ้าง ไม่ใช่ลักษณะของการแสดงแบบประชิดตัว เพราะมายากลประเภทนี้จะเน้นให้ผู้ชมที่อยู่ไกล ๆ ได้มองเห็นโดยทั่วกัน และสิ่งของหรืออุปกรณ์ก็มักจะชิ้นใหญ่กว่าอุปกรณ์มายากลระยะใกล้เพื่อให้ผู้ชมเห็นได้ถนัดตา มายากลประเภทนี้ได้แก่ การเสกนกพิราบ, เสกเป็ด, เสกร่ม, หรือการทำให้กรงนกหายไป หรือทำให้ปรากฎขึ้นมา เป็นต้น






3. ประโยชน์ของมายากล

มายากล เป็นการแสดงเพื่อให้ความบันเทิงกับท่าน และพนักงานในองค์กรของท่านในการจัดงานเลี้ยงต่าง ๆ หรืองานต้อนรับลูกค้า หรือเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเรียกลูกค้า เรียกคนดู หรือใช้ส่งเสริมการขายในธุรกิจของท่านได้
มายากลขำๆน้ะค้าบเเก้เครียด
 
เลือกไพ่ 1 ใบแล้วจำไว้ให้ดี ไม่ต้องคลิ๊กก็ได้

มายากลไพ่ 01

คิดในใจสัก 20 วินาที
ฉันจะอ่านใจคุณแล้วนะ







 

หลัง 20 วิ เลื่อนลงมาดูด้านล่าง
ฉันเอาไพ่ที่คุณเลือก ออกไปแล้วนะ
มายากลไพ่ 02

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

5.นักมายากลชื่อดังระดับโลก






         มายา หรือที่ เรียกง่าย ๆ ว่าการแหกตานั้นใช่ว่าจะมีคนเกลียดเสมอไป  เพราะมายากลคือข้อยกเว้น  เพราะมันเป็นการสมยอมกันระหว่างคนดูกับผู้แสดงว่า เขาจะหลอกคุณได้เนียนแค่ไหน มายากลเป็นความมหัศจรรย์ที่มีคนนิยมชมชอบมากมาย ครั้งนี้เราจึงจัดอันดับสุดยอดนักมายากลที่มีคนต้องการชมการแสดง ของเขาเหล่านี้มากที่สุด

1. David Blaine White
Born: 1973 Nationality: American

         หากใครสักคนได้ชม การแสดงของเขา อาจจะบอกได้ว่าเหมือนไม่ใช่การแสดงมายากลสักเท่าไหร่ เพราะมันเหมือนการทรมานตัวเอง ใช้ความอึดของร่างกายเข้าแลกมากกว่า แต่อย่าคิดมากเลย เพราะอะไรที่ขึ้นชื่อว่าการแสดงมายากล มันก็คือสิ่งที่ต้มคนดูจนเปื่อยอยู่แล้วครับ

         David Blaine เป็นคนอเมริกัน พ่อของเขามีเชื้อสายปอตอริกัน ส่วนแม่ของเขาเป็นชาวยิวเชื้อสายรัสเซีย ทำให้หน้าตาของเขาแทบจะแบ่งไม่ออกว่าสมควรจะไปทางไหนกันแน่ เขาเริ่มต้นการแสดงแบบนักมายากลทั่วไปก็คือ แสดงตามท้องถนน จนวันหนึ่งเขาได้โชว์มายากลในรายการโทรทัศน์ของ Conan O’Brien มันเป็นการแสดงกลไพ่ทั่ว ๆ ไป ต่อมาเขาก็เริ่มหาทางของตัวเองเจอ เขาคิดว่าหากแสดงกลสำเร็จรูปที่มีคนอื่นเล่นกันหมดแล้ว อนาคตเขาคงจะไปไม่ถึงไหนแน่ ๆ เขาจึงนำตัวเองเข้าหามายากลประเภทโลดโผน เสี่ยงตาย แบบเอาชีวิตเข้าแลก ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี เพราะกระแสตอบรับส่งผลให้เขาเริ่มดังขึ้นจนติด ระดับนักมายากลระดับโลก

         กลโลดโผนของเขา ที่มีชื่อเสียงก็คือ Buried Alive หรือฝังทั้งเป็น แสดงขึ้นในวันที่ 5 เมษายน 1999 เขาฝังตัวเองอยู่ใต้แท้งค์น้ำที่หนักถึง 3 ตัน เขาไม่ได้กินอะไรเลย และได้ดื่มน้ำเพียงวันละ 2-3 ช้อนชา เท่านั้น หลังจากนั้นเมื่อครบ 7 วัน ในวันที่ 13 เมษายน เขาก็ออกมาได้สำเร็จ

         การแสดงอันเป็น ที่จดจำอีกชุดหนึ่งก็คือการนำตัวเองเข้าไปแช่ในก้อนน้ำแข็ง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่ไทม์สแควร์ นิวยอร์ค โดยมีการถ่ายทอดบันทึกภาพตลอดเวลา เขาใช้เวลาอยู่ในนั้นนานถึง 63 ชั่วโมง 42 นาที และ 15 วินาที ก่อนที่จะออกมาอย่างคนป่วย นอกจากนี้เขายังทรมานตัวเองด้วย การอดอาหารเป็นระยะเวลา 44 วัน การกลั้นหายใจใต้น้ำ 7 นาที 33 วินาที ฯลฯ

David Blaine

         เคยออกเดทกับฟิ โอน่า แอปเปิ้ล และมาคอนน่า

2. Franz Harary


Born: 1962 Nationality: American

         เขาคือนักมากล ที่เชี่ยวชาญเรื่องการย้ายคนจากสถานที่หนึ่ง ไปอีกสถานที่หนึ่งได้แนบเนียนจนผู้คนต้องตกตะลึง ย้อนไปเมื่อวัยหนุ่ม ขณะที่เขาเรียนคนตรีอยู่ที่ Eastern Michigan University ตอนนั้น เขามีความฝันอยากเป็นนักร้องและ แคนเซอร์ ที่โรงละครบรอดเวย์ เขาชอบเล่นมายากลเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นงานอดิเรก แต่เจ้ามายากลนี่เองที่ทำให้เขาเริ่มเป็นที่ รู้จักของผู้คน หลังจากดนตรีของมหาวิทยาลัยให้เขามาแสดงมายากลช่วงที่วงดนตรีพัก ครึ่งการแสดง

         ขณะที่เขาอายุ 21 ปีและเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย เขาได้รับโอกาสในการคิดโชว์ให้กับ ไมเคิล แจ็คสัน ในโชว์ทีชื่อว่า Michael Jackson’s 1984 Victory Tour เขาสามารถทำให้ ไมเคิล หายตัวจากด้านหนึ่งไปปรากฏอยู่อีกด้านหนึ่งของเวที พร้อมกับที่ชายของ ไมเคิล ได้ ต่อมาเขาก็เริ่มมีชื่อเสียงจากการแสดงโชว์ในรายการ NBC’s The World’s Greatest Magic และมักจะได้ทำงานระดับโลกร่วมงานกับ เหล่าคนดังแห่งยุคมากมาย เขาได้รับการว่าจ้างให้ทำงานกับ Michigan Marching Band เพื่อคิดค้นการแสดง โดยเขาสามารถทำให้ทรัมเป็ตหายและไปอยู่ในสนามฟุตบอล รวมทั้งทำให้อาสาสมัครลอยตัวกลางอากาศได้

         นอกจากการการทำ งานให้ไมเคิลแจ็คสันแล้ว เขายังได้ร่วมงานกับศิลปินมากมาย อาทิ Janet Jackson, Alice Cooper, Bobby Brown, MC Hammer, Tina Turner, Earth, Wind and Fire ฯลฯ จนทำให้เขาได้รับรางวัล Masters of Illusion ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติของนักมายากลอีกด้วย

Franz Harary

         พูดภาษาไทยได้ หลักฐานก็คือในงาน Pattaya International Magic Festival 2007 มีแฟนคลับคนไทยคนหนึ่งยื่นให้ให้เขาเซ็น แต่บังเอิญปากกาของเขาเขียนไม่ติด แฟนคลับเลยยื่นปากกาของตัวเองให้ไปเขา เขาจึงพูดเป็นภาษาไทยออกมาว่า “ผมขอ..ยืม..ปากกา..ไปก่อน..ได้ไหมครับ”


3. Cyril Takayama

Born: 1973 Nationality: Japanese

         ทาคายาม่า คือนักมายากล ชาวเอเชียที่มีผลงานระดับโลกและเป็นนักมายากลหนุ่มที่มีชื่อเสียง โด่งดังเร็วที่สุดอีกด้วย เขาเกิดที่ฮอลลีวู้ด แคลิฟอร์เนีย โดยมีพ่อเป็นคนญี่ปุ่น แม่เป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-โมร็อคโค ทำให้ชีวิตของเขาได้สัมผัสคนหลายเชื้อชาติ เขาเริ่มสนใจการแสดงมายากลตอนอายุ 6 ขวบ ซึ่งเจ้าตัวได้มีโอกาสไปชมมายากลที่ลาสเวกัส จนได้ศึกษาเรื่องมายากลอย่างจริงจังที่ศูนย์โปรแกรมสอนมายากลสำ หรับเยาวชนแคลิฟอร์เนีย จนในปี 1994 F.I.S.M (Federation International Society du Magique) ก็มอบรางวัลนักมายากลระดับยอดเยี่ยมในแขนง Grand Illusion ให้กันเขาซึ่งรางวัลนี้ถือว่าเป็นรางวัลระดับโอลิมปิคของวง การมายากลเลยทีเดียว

         ด้วยประสบการณ์การแสดงที่อเมริกานี่เอง ที่ทำให้เขากลับมาเปิดแสดงในประเทศญี่ปุ่น การแสดงที่นี่ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก ยิ่งทางฝั่งเอเชียด้วยแล้วถ้าเห็นหน้าตาและรูปของเขา คงไม่มีใครไม่เคยดูการแสดงของเขาเป็นแน่

         การแสดงมายากล ในแบบของเขาเป็นประเภทเอนเตอร์เทนแบบถึงตัว  เรียกว่าไม่ถนัดขึ้นเวทีขอลงมาร่วมแจมกันคนดูดีกว่า และนั่นก็กลายเป็นจุดเด่นของเขา ตัวอย่างกลที่เขาเล่นก็อย่างเช่น การดึงแฮมเบอร์เกอร์จากรูปภาพออกมากินได้อย่างหน้าตาเลย หรือการใส่แว่นให้คนในรูปธนบัตร

Cyril Takayama

         ก่อนที่เขาจะ ดังแบบเดี่ยวๆ ในปี 1997 เขามีคู่หูชื่อว่า เจนร่วมแสดงมายากลจนกระทั่งโด่งดังในเวลาต่อมา


4. David Copperfield

Born: 1956 Nationality: American

         ถ้าพูดถึงนักมายากล  แล้วไม่พูดถึงผู้ชายคนนี้คงไม่ได้เลย  เพราะเขาคือนักมายากลที่มีเสียงที่มีคนรู้จักมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง เขาเกิดและเติบโตที่รัฐนิวเจอร์ชีย์ โดยพื้นฐานครอบครัวเป็นคนยูเครนเชื้อสายยิว เขาเริ่มฝึกฝนมายากลตั้งแต่อายุ 12 ปี และเมื่อเช้าได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค เขาก็มักจะได้รับเชิญให้ไปแสดงมากลทุกครั้งที่มีงาน ของมหาวิทยาลัย

         งานแรกที่ทำให้ เขาปรากฏตัวสู่สาธารณะชนเกิดขึ้นเมื่อเขาได้รับเลือกให้เป็นพิธีกร ในรายการ The Magic of ABC ปรากฏว่าเรทดิ้งรายการพุ่งสูงมากจนถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก จนกระทั่ง CBS ต้องดึงเขามาทำสัญญาในการแสดงชุด The Magic of David Copprfield

         เดวิดเป็นนักมายากล ประเภทที่ต้องทำการแสดงบนเวที หรือถ้าเป็นการแสดงข้างนอก ก็ต้องมีการเตรียมตัวด้วยแสงสีเสียงที่ใช้เงินมหาศาล อย่างกลเด็ดที่สร้างชื่อให้กับเขาที่ยังสร้างความฉงนต่อหน้าผู้ชม นับล้านคนจนถึงทุกวันนี้ก็คือ การทำให้เทพีเสรีภาพหายไป การลอยตัวในอากาศเหนือแกรนด์ แคนยอน และการเดินทะลุผ่านกำแพงเมืองจีนได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนผู้ชมต้องยกนิ้วให้ในความเก่งกาจของเขา

David Copperfield

         เคยเป็นข่าวดัง ด้วยการควงกับซูเปอร์โมเคลสาว  คลอเดีย ซิฟเฟอร์ มาก่อน โดยหมั้นหมายกันไว้หลังจากทั้งคู่ควงกันเมื่อปี  1994 ก่อนที่จะถอนหมั้นกันในปี 1999

5. Criss Angel
Born: 1967 Nationality: American

         เชื่อว่าถ้าหาก พูดชื่อนี้ออกมาทุกคนคงรู้จักเขาเป็นอย่างดี รวมถึงเห็นหน้าตาหล่อ ๆ ของเขากันอย่างคุ้นเคย คริสฝึกมายากลตั้งแต่เด็กจนได้รับรางวัล Illusionist ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้สำหรับนักมากลที่มีชื่อเสียง เขาออกรายการทีวีครั้งแรก ในรายการพิเศษทางช่อง ABC ชื่อรายการว่า “Talents” ในปี 1995 ซึ่งเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เขาดังเป็นพลุแตก เขาทำรายการมายากลของตัวเองมากมายเรียกว่า ทำกันจนแทบจะหมดไส้หมดพุงกันไปเลย

         เหตุที่เขาสามารถสร้างโชว์ที่ทำให้คนตะลึงได้ เพราะก่อนหน้านี้เขามีพื้นฐานหลายอย่างประกอบกัน เขาเคยเป็นทั้งนักดนตรี นักสะกดจิต สตั้นท์แมน เพราะฉะนั้นจึงไม่ยากเลยที่เขาจะนำศาสตร์เหล่านี้ มารวมอยู่ในมายากลของเขาเอง เขาผสมผสานการแสดงได้หลากหลาย ทั้งการแสดงบนเวทีหรือการแสดงภายนอก ซึ่งการแสดงตามถนนนี่เองที่เขาจำเป็นต้องใช้ผู้ช่วย (หน้าม้า) มากมาย โดยมุมกล้องเป็นตัวต้นคนดูอีกที

         แต่ก็มีกลบางอย่างที่เขาใช้ความสามารถเฉพาะตัว โดยการฝึกฝนอย่างหนักเช่น การเข้าคาสิโนที่ลาสเวกัส เขาสามารถเปลี่ยนไพ่โดยใช้มือเปล่า ซึ่งสายตาคนปกติมองไม่ทัน ต้องมีการกรอเทป หลายรอบถึงจะเห็นความไวของมือเขา นอกจากนี้เขายังมีกลที่สร้างความตะลึกอย่างเช่น การลอยตัวขึ้นไปในอากาศ การเดินบนน้ำที่ผิดแปลกจากธรรมชาติ (เป็นกลที่ใช้การหลบมุมกล้อง และหน้าม้าล้วน ๆ) เหล่านี้ส่งผลให้เขาเป็นนักมายากลที่น่าทึ่งและน่าจับตา มองเป็นอย่างมาก

Criss Angel

         มีวงดนตรีชื่อ Angeldust ล่าสุดเขาสร้างมิสิควิดีโอเพลง MF2 ร่วมกับ Sully Erna นักร้องนำของ Godsmack โดยมีให้ชมแล้ว ทาง Yahoo Videos